ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

บุญบวชพระ

๒๓ ต.ค. ๒๕๕๒

 

บุญบวชพระ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี


 

หลวงพ่อ : ใครมีอะไรจุดประเด็นก่อนมา ใครมีอะไรจุดประเด็นก่อนเอาเลย มีอะไรสงสัยเอาเลย มีอะไรสงสัย ใครมีอะไรบอกมาเลย มีไหม

โยม : อาจารย์อย่างนั้นเดี๋ยวผมขอโอกาสถามหัวข้อแล้วกัน มันมีพระนวกะ แต่ว่ายังไม่ได้พรรษา เขาเรียกว่าเข้าพรรษาหลัง อยากทราบว่าพรรษาหลักนี้มันจำเป็นไหม ทีแรกเขาจะมาที่นี่แหละ แล้วทีนี้เขากลัวว่าเขาไม่ได้พรรษา เขาจะออกพรรษาเดือนพฤศจิกายน เขาก็เลยไม่มา ปกติจะมา ๑๘ รุ่ง แล้วพรรษาหลังนี่มันมีความสำคัญอย่างไร

หลวงพ่อ : พรรษาหลังนี่เขา พรรษานี่มันมีอยู่ ๒ อย่าง พรรษาแรก พรรษาหลัง พรรษาหลังหมายถึงว่า ก่อนเข้าพรรษาใช่ไหม เราเข้าพรรษาวันเข้าพรรษา พรรษาหลังไปอีก ๑ เดือน ไปอีก ๑ เดือนนี่พวกเราเข้าพรรษาไม่ทันใช่ไหม พอเราบวชแล้วเราไปเข้าพรรษาหลัง พรรษาหลังนี่คือว่าเข้าพรรษาไปแล้ว ๑ เดือน แล้วเราอธิษฐานพรรษาของเราคนเดียว มันจะไปออกพรรษาเอาหลังเรา ๑ เดือนไง เขาเรียกพรรษาหลัง

ทีนี้พรรษาหลังนี่ พูดถึงนะ ถ้ามีครูบาอาจารย์หรือว่าคนที่เป็นนี่ ไม่ใช่ชี้โพรงให้กระรอกหรอก ในการจำพรรษานี่มันสัตตาหะได้

โยม : ผมอธิบายให้ท่านเขาฟังแล้วเขาบอกว่า คือเขาไม่สบายใจบอกว่า คือถ้าจะมาปฏิบัติธรรมที่นี่แล้วเขาบอกว่า ผมขาดพรรษา อย่างไรผมก็ขาดพรรษา

หลวงพ่อ : ไม่ขาดหรอก ไม่ขาดพรรษาเพราะอะไร เพราะว่าในพรรษานะ พระเรานี่ พระเรานี่แบบว่าจำพรรษาด้วยกัน ๔ องค์ขึ้นไป แล้ว ๔ องค์ขึ้นไปนี่ ใน ๔ องค์นี้ไม่สามารถสวดปาติโมกข์ได้เลย ปรับอาบัติปาจิตตีย์ทั้ง ๔ องค์เลย ฉะนั้นถ้าปรับอาบัติปาจิตตีย์แล้ว ถ้าจะแก้ วิธีแก้แก้อย่างไร สมัยพุทธกาลไม่มีตำรา ไม่มีตำรานะ นี้การเรียนปาติโมกข์ต้องเรียนปากต่อปากไง คือมันไม่มีตำราไม่มีหนังสือไม่มีอะไรเลย ต้องไปเรียนจากครูบาอาจารย์เห็นไหม นี่สัตตาหกรณียะไปได้

ไปเรียนก็สัตตาหะได้ แล้วอย่างนี้ สัตตาหะมันมีพ่อแม่ใช่ไหม พ่อแม่เจ็บไข้ได้ป่วย แล้วก็อย่างพระนี่ แม้แต่กิจนิมนต์ยังสัตตาหะได้เลย สัตตาหะได้เพราะอะไร เพราะสมมุติชุมชนนี้เขาต้องการทำบุญ ชุมชนนี้เขาต้องการทำบุญ แล้วไม่มีพระนี่ เพราะว่าพระพุทธเจ้าวางศาสนานี้ วางศาสนาเพื่อความมั่นคงของพุทธศาสนา มั่นคงของบริษัท

แล้วนี้ถ้าชุมชนนะ ชุมชนนี่ความศรัทธาความเชื่อของเขา เวลาเขาจะทำบุญนี่ ไม่มีพระนี่ นี่พระสัตตาหะไปได้ เพราะการสัตตาหะไป เราบอก อู้ฮู..แค่กิจนิมนต์นี่สัตตาหะ ไปได้เลยเหรอ ไม่ใช่ ! เรามองแค่กิจนิมนต์นะ แต่เรามองถึงชุมชนนั้นสิ ความมั่นคงนะ ความศรัทธาของชุมชนนั้น

คือประชาชนในหมู่บ้านนั้น เขาจะทำบุญกุศล แล้วก็เขาไม่มีพระ หรือพระที่เขาต้องการพระให้ครบ ๗ องค์ ๙ องค์มันไม่มีพระนี่ นี่พระสัตตาหะมาได้ เพราะการ สัตตาหะนี้ สัตตาหะเพื่อความมั่นคงของชุมชนนั้น เพื่อความศรัทธา เพราะศรัทธานี้สำคัญมาก

ทีนี้คำว่าขาดพรรษา ขาดพรรษาเพราะอะไร ถ้าเราสัตตาหะนี่ ถ้าสัตตาหะแล้วถูกต้องหมด ถ้าเรามีความจำเป็นนะ ถึงสัตตาหะไป แต่ถ้าเขาไม่สัตตาหะมันก็เรื่องของเขาล่ะ อย่างนี้เพราะมัน ใหม่ๆ นี่นะ ผู้บวชใหม่นี่มันเป็นวิทยาศาสตร์ ทุกอย่างต้องให้ค่าตามนั้นตามนั้น แต่ถ้าบวชเก่าแล้วนี่มันจะมีเห็นไหม บัญญัติ อนุบัญญัติ พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้อย่างนี้ แล้วไปดู นี่เรียนมาแล้วนี่ ในวินัยทุกข้อนี่เห็นไหม อาบัติ อนาบัติ อาบัติเห็นไหม ทำอย่างนี้เป็นอาบัติ อาบัติ อาบัติ ถ้ามันไม่ครบองค์ประกอบ อย่างนี้เป็นอนาบัติ คือไม่เป็นอาบัติ

แล้วนี่ก็เหมือนกัน พรรษานี่ขาด พรรษาขาดนี่ใครเป็นคนบอกว่าพรรษาขาดหรือพรรษาไม่ขาด เราพูดได้เหรอ เราคิดเอาเองได้ไหม แต่ถ้ามันครบองค์ประกอบของกฎหมายนี่ มันขาดหรือไม่ขาด จริงไหม สัตตาหะไปนี่มันแบบว่า นี่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ให้สัตตาหะไปได้ แล้วสัตตาหะไปนี่พรรษาจะขาดไหม มันขาดไม่ขาดนี่ เราจะบอกว่าเราทำแล้วขาดไม่ขาดไม่ได้ มันอยู่ที่องค์ประกอบของวินัยว่าขาดหรือไม่ขาด

นี้ในวินัยบัญญัติไว้ให้สัตตาหะได้ สัตตาหะได้ นี้สัตตาหะในพรรษานี่เราเอาของไปส่งนี่ เราไปในพรรษานี่เราไปส่งของ นี่ไปส่งของตามวัดที่เราไปสร้างไว้นี่ เพราะถ้ามันไปกลับเห็นไหม มันแบบว่า สังขละนี่(สังขละบุรี) โพธารามไปกลับนี่ สัตตาหะ เราสัตตาหะไป ถ้าสัตตาหะไปมันแบบว่ามันไม่พ้นจากพรรษา

ทีนี้คำว่าพรรษาหน้าพรรษาหลังเป็นอย่างนี้ สมัยพุทธกาลมั๊ง พระจำพรรษาไม่ได้ พระพุทธเจ้าเลยบัญญัติไว้ให้มีพรรษาหลัง ทีนี้ตามพรรษาหลังของเขานี่ ถ้าเขาเข้าพรรษาหลังคือวันเข้าพรรษาไป ๑ เดือน เขาจะออกพรรษาช้ากว่าเรา ๑ เดือน ในพรรษาของเขา นี่พรรษาหน้าพรรษาหลังนะ

ทีนี้ถ้าพูดถึงเขาห่วงหรือเขาอย่างนั้นก็สาธุ คือว่าทุกคน เราปกป้องตัวเองดีที่สุดอยู่แล้ว ถ้าเราสงสัย เราสงสัยเราไม่ทำนะสิ่งนั้นถูกต้อง ธรรมวินัยนี่ลังเลสงสัยทำไปเป็นอาบัติ เราไม่มั่นใจ ทำไปนี่เป็นอาบัติทันทีเลย

ฉะนั้นธรรมวินัยเราต้องชัดเจน ชัดเจนแล้วเราทำตามนั้นไปเลย ถ้าอย่างนี้ปั๊บนี่ ถ้าเขาสงสัยก็ เออ..สาธุไม่ต้องมา เพราะเขามาแล้วมัน นิวรณธรรม ปิดกั้นมรรคผล นิวรณธรรมนี่ นิวรณ์คือความลังเลสงสัย นิวรณ์นะปิดกั้นสมาธิ สมาธิเกิดไม่ได้เลย นั่งสมาธิไปเถอะ ภาวนาไปเถอะ เอ๊ะ..มีจริงหรือเปล่าวะ อืม..โกหกทั้งนั้นแหละ อืม..เขียนเสือให้วัวกลัว อืม..นรกสวรรค์ไม่มีหรอก สมาธิไม่ได้หรอก สมาธิไม่ได้ ถ้าจะสมาธินะต้องพิสูจน์

ในที่มืดมีผีไหม กลัวผีนี่ ในที่มืดนี่ ในป่าช้ามีผีไหม มีซากกระดูกเยอะแยะเลย มีผีไหม ไม่กล้าเข้า เดินขาสั่นเลย อ้าว..แล้ววิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ว่ามีผีหรือเปล่าล่ะ เออแล้วทำไมไม่เข้าไปล่ะ นี่พอลังเลสงสัยนะ อืม อืม อืมก็ต้องปลดเปลื้องตรงนี้ให้ได้

นิวรณธรรมปิดกั้นสมาธิ ความสงบของใจเกิดไม่ได้เลย เพราะมันลังเลสงสัยอยู่ มันตีของมันอยู่ มันสงบไม่ได้เห็นไหม มันปั่นป่วนในใจเราเห็นไหม ใจเรานี่ปั่นป่วนหมดเลย แล้วก็พุทโธ พุทโธ พุทโธ อืม..พุทโธจริงหรือเปล่าวะ อืม..มันจะมีหรือ อืม.. พุทโธ พุทโธ อืม.. พุทโธไปเถอะ

ทีนี้พออย่างนั้นปั๊บเราต้องให้มันเป็นเอกภาพไง พอมันเป็นเอกภาพของจิต ถ้าจิตมีเอกภาพ มันเหมือนแสงเลเซอร์ แสงเลเซอร์รวมตัวมันชัด แสงเลเซอร์ตัด ใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง จิตของคนถ้ามันเป็นเอกภาพ มันรวมตัวของมัน เห็นไหม

สิ่งที่เคลื่อนที่ที่เร็วที่สุด แล้วหยุดนิ่ง คิดถึงอเมริกาสิ คิดถึงดาวอังคารสิ คิดถึงมันไปกลับมาแล้วมึงนั่งอยู่นี่ไง ไปแล้วนี่ สิ่งที่เคลื่อนที่ที่เร็วที่สุด แล้วหยุดนิ่ง แล้วสิ่งนั้นมันจะมีคุณค่าขนาดไหน มีประโยชน์ขนาดไหน ถ้ามีประโยชน์ขนาดไหนนี่มันต้องสัมผัส ถ้าสัมผัสแล้วนี่ปัจจัตตังรู้เฉพาะตน

นี่ศาสนานี่มั่นคงตรงนี้ สิ่งต่างๆ นี่มัน ศาสนวัตถุ ศาสนบุคคล นี่มันเป็นส่วนประกอบทั้งนั้นเลย นี่ศาสนพิธี สิ่งนี้ทำให้องค์รวมของศาสนาปรากฏตัวขึ้นมา แต่ความจริงนี่ศาสนามันอยู่ที่ไหน ศาสนามันอยู่ไหน

พระพุทธเจ้าตรัสรู้โคนต้นโพธิ์ โอ้โฮ.. ตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์ ก็เคารพบูชาต้นโพธิ์ ก็สาธุนะ มันเป็นต้นไม้ประจำพุทธศาสนา แล้วเราไปนั่งโคนต้นโพธิ์ภาวนาได้ไหม แล้วให้มันสำเร็จได้ไหม คนไปเห็นไหม ไปพุทธคยาเห็นไหม พยายามไปภาวนากัน เขาว่าไปแล้วภาวนาดีภาวนาดี ต้นโพธิ์ในหัวใจเราล่ะ

พระพุทธเจ้านั่งอยู่โคนต้นโพธิ์ แต่หัวใจของพระพุทธเจ้าตรัสรู้นะ มันตรัสรู้ที่หัวใจนะ หัวใจนี่ ความรับรู้ความรู้สึกนี่ ความรู้สึกอันนี้ ความรู้สึกทุกข์ๆ ยากๆ นี่ ความรู้สึกที่มันเรรวนอยู่นี่ ถ้ามันปักใจ คำว่าปักใจเชื่อ นี่คำว่าเห็นไหม เราถึงบอกว่าต้องมีศรัทธามีความเชื่อ มีความตั้งมั่น มีเอกภาพ แต่เวลาปฏิบัติขึ้นไปแล้วนะ เอกภาพมันก็เอกภาพ เอกภาพก็แร่ธาตุอันหนึ่ง สสาร ธาตุรู้เป็นแร่ธาตุอันหนึ่งนะ

พระพุทธเจ้าบอกกาลามสูตรนะ พระพุทธเจ้าไม่ให้เชื่อแม้แต่พระพุทธเจ้าพูด ไม่ให้เชื่อแม้แต่อาจารย์พูด ไม่ให้เชื่อว่าอนุมานได้ ไม่ให้เชื่อว่าจินตนาการได้ ไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อ ความเชื่อแก้กิเลสไม่ได้ ความเชื่อแก้กิเลสไม่ได้ เพราะมีความเชื่อแล้วไม่มีปัญญาเห็นไหม เป็นเหยื่อกันในสังคมชาวพุทธดูเอาสิ เพราะอะไรเพราะเชื่อไง เชื่อแล้วไม่ใช้ปัญญาไง เห็นไหม

ความเชื่อแก้กิเลสไม่ได้ มันแก้กิเลสด้วยสัจจะความจริง อริยสัจจะจากหัวใจนี่ อันนั้นแก้กิเลสได้ แต่ทำไมบอกว่าทำไมต้องให้มั่นคงล่ะ ให้เอกภาพล่ะ เพราะว่าเวลาธรรมะนี่นะ ต้นไม้นี่ถ้าไม่มีเปลือก ต้นไม้ขึ้นมาได้ไหม ต้นไม้มันมีเปลือกนะ เปลือกนั่นมันเป็นสารอาหารที่มันจะขึ้นมาจากเปลือกนั้น ไม่มีศาสนพิธี ไม่มีศาสนบุคคลนี่ เราบวชใหม่เข้ามานี่เงอะๆ งะๆ นี่ พอครบเดือนนี่ชักชำนาญนี่เราจะสึกแล้ว บวชเข้ามานี่เงอะๆ งะๆ ทำอะไรไม่ถูกเลย

นี่ก็เหมือนกัน เอาไว้ฝึกหัดเด็กใหม่ไง พุทธศาสนานี่มันมีคนเข้ามาอยู่ตลอดเวลาแล้วครูบาอาจารย์เราก็แก่เฒ่า นี่สิ้นชีวิตไปตลอด แล้วมันจะทำอะไรกันล่ะ นี่ไงพออย่างนั้นต้องมีความเชื่อมีศรัทธา ไม่มีศรัทธาจะเข้ามาทำไม

ศรัทธานี่ถ้าพูด เป็นฆราวาสนะศรัทธานี่เป็นหัวรถจักร ถ้าไม่มีศรัทธานี่มันจะไม่ดึงคนเข้ามาวัด ไม่ดึงคนเข้ามาสนใจหรอก แต่สนใจแล้วศรัทธานี่ ศรัทธาโดยไม่มีสมองไง ศรัทธาโดยให้เขาจูงจมูกไง เออก็มรรคผลนิพพาน นิพพานสงบเย็น ควายกูก็นิพพาน ควายกูกินหญ้าเสร็จแม่งนอนแช่น้ำอยู่ สงบเย็นไง

มันสงบเย็น ทำไมถึงสงบเย็นล่ะ อย่างไรถึงเป็นสงบเย็น อะไรสงบอะไรเย็น นิพพานสะอาด นิพพานสว่างไสว ผงซักฟอกมันสะอาดกว่ามึงอีก พูดไปพร่ำเพรื่อ พูดไปเพ้อเจ้อ มันต้องมีเหตุมีผลสิ มันสงบเย็น สงบเย็นอย่างไร นิพพานเป็นอย่างไร นี่ไงพอถ้ามันศรัทธานี่ พอเขาพูดก็เชื่อ เออใช่นะ นิพพานสงบเย็นเพราะเราร้อนนะ ท่านสงบเย็นนะ สงบเย็นแต่ล้วงกระเป๋านั่นไง สงบเย็นนั่นไง ทำบุญเยอะๆ นะ ได้บุญเยอะ แหมมาเถอะสงบเย็น

ไม่ให้เชื่อ พระพุทธเจ้าไม่ให้เชื่อ นี่ไงไม่ให้เชื่อใดๆ ทั้งสิ้น เพราะอะไร เพราะเราไม่ใช้ดุลพินิจ เขาพูดเลยนะ ดูสิเดี๋ยวนี้พวกเรานี่เห็นไหม การศึกษานี่เขาต้องให้เหมือนเด็กฝรั่ง นี่เห็นไหม IQ นี่ต้องให้เด็กมันมีการโต้แย้ง ให้เด็กมีการสงสัยขึ้นมาเห็นไหม เราเหมือนกันเราโตแล้วนี่ ถ้าเขาพูดอย่างนี้เราคิดตรงข้ามสิ เราแนะนำตลอดนะ ใครมาหาเรานี่นะ พระที่ไหนพูดอะไรก็แล้วแต่ เอ็งคิดตรงข้ามเลย แล้วเทียบเอา ท่านพูดอะไรเอ็งคิดตรงข้ามเลย

พระพุทธเจ้าไม่ให้เชื่อ ให้พิสูจน์ ไม่ให้เชื่อ คิดตรงข้ามเลย พอคิดตรงข้ามแล้วเราพิสูจน์กันว่าจริงหรือไม่จริง แล้วเราหาเหตุหาผล หาเหตุผลแล้ว ถ้าเหตุผลมันลงตัวแล้วนี่ นั่นล่ะของจริง ของจริงเกิดขึ้นจากการพิสูจน์

แล้วนี่ย้อนกลับมานี่เห็นไหม ศรัทธา ศรัทธาสำคัญสำหรับฆราวาส ถ้าฆราวาสญาติโยม พวกเรานี่นะ ฆราวาสธรรมนี่ต้องมีศรัทธา เราไม่มีศรัทธาเลย ไม่มีจุดมุ่งหมายเลย อธิษฐานบารมี พระพุทธเจ้าจะเกิดเป็นพระพุทธเจ้าได้ เพราะมีอธิษฐานบารมี คือเป้าหมาย

เรามีศรัทธาขึ้นมาใช่ไหม แล้วศรัทธาคือชักนำเราเท่านั้นเอง แล้วเป้าหมายที่เราจะเข้าไปนี่ เป้าหมายที่เราจะเข้าไป ย้อนกลับมาถามตัวเราเลยทุกข์ไหม เกิดมาทำไม นี่พ่อแม่ต้องเกิดมาห่วงทุกคนนี่ นี่พ่อแม่รอสึกแล้วล่ะ ทำไมนะ จะไปผูกไว้ไง พอสึกแล้วนี่ก็ไปทำมาหากินใช่ไหม ตระกูลนี่ ต่างๆ นี่ก็ว่ากันไป

นี่ความปรารถนาดีของพ่อแม่นะ แต่พระพุทธเจ้าปรารถนาดีกว่านั้นอีก เพราะตอนนี้ นี่ๆ วัยรุ่นนะ คนเราวัยรุ่น คนเราเกิดขึ้นมานี่ เออโลกนี้แหม..มันแบบ เหมือนดอกไม้แรกผลินี่ มันแรกแย้มนี่แหม..มันชุ่มชวยมาก พอแก่พอเฒ่าขึ้นมาคอตกนะ คอตกเลยนะ ชีวิตนี้คืออะไร เราคิด คิดสิว่ามันมาอย่างไร แล้วจะไปไหนกันต่อ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าสิ่งนั้นมันเป็นพยับแดด ชีวิตประจำวันนี่พยับแดด พยับแดดมีอะไร ดูสิเวลาแดดออก ดูบนถนนนี่พยับแดด เข้าไปใกล้ๆ ไม่มีอะไรเลย

นี่ก็เหมือนกัน ชั่วคราวเท่านั้นแหละ ของที่ประสบทั้งชีวิตนี่มันของชั่วคราวทั้งนั้นแหละ แต่มันต้องทำ เพราะเราเกิดมาโดยสายบุญสายกรรม พ่อแม่ก็หวังพึ่งนี้ทั้งนั้นแหละ ชาติตระกูลเห็นไหม ตระกูลใดมีการรักษามีการแก้ไข มีการประหยัดมัธยัสถ์นี่ ตระกูลนั้นจะมั่นคง นี่ชาติตระกูลนะ แล้วเราอยู่ในชาติตระกูลใครล่ะ ตระกูลของเราก็ต้องมั่นคง เขาคิดถึงความมั่นคงนะ

ดูทำธุรกิจสิ ชั่ว ๓ อายุคนอยู่ไม่ได้หรอก ธุรกิจนี่ ๓ ชั่วอายุคนเท่านั้นล่ะ รุ่นที่ ๑ รุ่นที่ ๒ รุ่นที่ ๓ นี่ ไปแล้ว เพราะคนเราจะเอาให้มันดีไปหมดนี่มันเป็นไปไม่ได้หรอก นี่พูดถึงมุมมองของศาสนาไง แล้วมุมมองทางโลกไง ทางโลกคือพ่อแม่เราไง พ่อแม่ปู่ย่าตายาย ชาติตระกูลของเราไง นี่พูดถึงในความปรารถนาของเรา ก็เพื่อความมั่นคงทางนั้น

แต่ถ้าในพุทธศาสนานะ เอ็งเกิดมาจากไหน เห็นไหมในโลกก็เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ DNA ไปตรวจสิของพ่อแม่หมดแหละ แล้วพันธุกรรมทางจิตล่ะ นี่ลูกในตระกูลนะ ในท้องแม่ท้องเดียวกันนี่ พี่น้องคิดเหมือนกันไหม พี่น้องมีความเห็นเหมือนกันไหม มันเป็นไปไม่ได้เลย พันธุกรรมทางจิตนี่กรรมใครกรรมมันไง

เราเกิดมาจากกรรม ปฏิสนธิจิตของเรา จิตของเรา ความรู้สึกของเรานี่ ไปปฏิสนธิในไข่ของมารดา ในไข่ของมารดาเพราะอะไร เพราะกรรมมันบาลานซ์กัน เราถึงมาเกิดในครรภ์นั้น พอเกิดในครรภ์นั้น นี่ๆ พอเกิดมาในชาติปัจจุบันนี่ใช่พ่อแม่เรา แต่อดีตชาติใครเป็นพ่อแม่ใคร ใครเป็นพ่อแม่ใคร มันจะผลัดหมุนเวียนกันอย่างไร นี่ต่อไปนี่ถ้าสึกไปเห็นไหม จะมีครอบครัวนี่ ก็มีลูกเหมือนกัน แล้วใครมาเกิดเป็นลูกเรา แล้วเราจะเลี้ยงลูกเราไปอย่างไร

นี่พูดถึงวัฏฏะเห็นไหม นี่วัฏฏะมันวนอย่างนั้นไง แต่พระพุทธเจ้านี่บอกว่า การเกิดและการตาย ใครไปเกิดไปตาย แล้วมานั่งอยู่นี่มันมาจากไหน แล้วก็มองกันแค่วิทยาศาสตร์ แค่พ่อแม่เรานี่ไง แต่ธรรมะพูดถึงว่าพระพุทธเจ้านี่ปรารถนาดีกับเราเยอะมากเลย ถ้าเราเข้าถึงนะ พอจิตเรา พูดถึงเรามีความมั่นคงนะ มีศรัทธาความเชื่อ แล้วเราพิสูจน์ ไม่ให้เชื่อ

“พระพุทธเจ้าไม่ให้เชื่อ พระพุทธเจ้าไม่ต้องการให้ใครเชื่อด้วย พระพุทธเจ้าไม่ต้องการให้ใครเชื่อเลย”

นี่พุทธศาสนา ท้าทายตรงนี้ แต่ศาสนาอื่นนะไม่ได้ ต้องเชื่อ พระพุทธเจ้าบอกศรัทธามีศรัทธา ศรัทธาแล้วมาพิสูจน์ พิสูจน์ขึ้นมาแล้วถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมานะ โอ้โฮ..เราผลักขนาดไหน เราก็เคารพบูชานะ สิ่งใดนี่ นักวิทยาศาสตร์นี่ ไอน์สไตน์มันพิสูจน์ไว้แล้วนี่ทฤษฎีสัมพัทธ์นี่ ถ้าเราพิสูจน์ได้อย่างนั้นนี่ โอ้โฮ..ไอน์สไตน์พูดถูกเว้ย โอ้โฮ..เราจะ นี่พูดถึงทฤษฎีของเขานะ แล้วไอน์สไตน์มันยังเกิดยังตายยังหมุนเวียนไปยังทุกข์อยู่นะ ยังอมทุกข์นั่นไง

แต่พระพุทธเจ้าพิสูจน์จากสิ่งที่ เก็บไว้เป็นทฤษฎีเห็นไหม ทฤษฎีในพระไตรปิฎก แล้วคนที่พิสูจน์ได้ คนที่พิสูจน์ได้มีมากน้อยแค่ไหน

“คนที่พิสูจน์ได้นี่จะมั่นคงในพุทธศาสนามาก”

นี้ถ้าเรามาพิสูจน์ขึ้นมา เรามาพยายามทำของเรา แล้วถ้าเรารู้แจ้งของเราขึ้นมา แล้วที่เอ็งว่านิพพานสงบเย็นๆ สงบเย็นอย่างไรวะ ทำไมสงบเย็น สงบเย็นก็ห้องเย็นไง มึงไปแช่มันก็สงบอยู่อย่างนั้น มันก็เย็นไง แล้วใจมันเย็นไหม ใจมันเย็นไหม แต่ถ้าเรามารื้อถอนของเรานี่ กูอยู่กลางแดดนี่กูเย็นไง กูอยู่กลางแดดนี่ กูอยู่ที่ไหนกูก็เย็น กูอยู่พอใจของกู แล้วเราทำอย่างไรล่ะ

นี่ถ้ามันพิสูจน์นี่ไง ถ้าเราพิสูจน์ตรงนี้ เรามาพิสูจน์ตรงนี้ ฉะนั้นเรื่องตั้งแต่ธรรมวินัยเห็นไหม ธรรมวินัยอย่างที่ว่านี่ เข้ามามันก็อย่างนี้ เริ่มต้นมันก็ลังเลสงสัยเป็นธรรมดา แต่เวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมา เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ สิ่งที่ศึกษาเล่าเรียนมาแล้วนะ นี่ถูกต้อง เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ที่เขาพูดไงว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ ใช่ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ แต่ที่เราจะมาศึกษานี่

“เราศึกษากฎทฤษฎีที่เหนือธรรมชาติ ที่มันจะเข้าใจธรรมชาติ”

ธรรมชาติคือ รถ ๒ คันเมื่อกี้ที่วิ่งมานี่ธรรมชาติเขาสร้างมา วิทยาศาสตร์สร้างมา เทคโนโลยีมันสร้างมา มันกลับไปแล้ว มันทิ้งไว้อยู่นี่ มันมาทิ้งไว้นี่ ธรรมชาติมันกลับไปแล้วนะ มันทิ้งแต่ไอ้พวกทุกข์ๆ นี่ คืนนี้นอน ผีดุนะ นี่มันมาทิ้งไว้นี่ แล้วไอ้พวกนี้จะอยู่กับธรรมชาติหรือจะพ้นจากธรรมชาติไป

นี่ธรรมชาติ ธรรมชาติคือการเวียนว่ายตายเกิด ธรรมชาติคือสสาร คือการแปรปรวน ธรรมชาติคืออนิจจัง คือการแปรปรวน คือความไม่คงที่ มีอะไรคงที่บ้าง ชีวิตนี้มีอะไรคงที่ไหม นี่คือธรรมชาติอันหนึ่งใช่ไหม แต่เวลาที่เราพิจารณาแล้วนี่ รถมันมาส่งเรา รถมันกลับไปแล้ว นี่ธรรมชาติ

แต่ถ้าเราเข้าใจสัจจะความจริงแล้วนี่ จิตที่มันจะปฏิสนธิจิตในไข่ของมารดา ที่มันจะเวียนตายเวียนเกิดนี่ ถ้ามันรู้จริงมันสลัดของมันแล้ว มันไม่ไปนี่ มันไม่ไปอีกแล้วนี่ มันเหนือธรรมชาติไหม มันจะเหนือธรรมชาติ

ธรรมชาติคือการเปลี่ยนแปลง ธรรมชาติคือสสารที่มันเปลี่ยนแปลง มันไม่มีอะไรคงที่ตลอดไป แล้วมันมีอะไรที่มันคงที่ ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ความเป็นจริงที่คงที่ ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงนี่มันเป็นธรรมชาติไหม มันอยู่ในกฎของธรรมชาติไหม

สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งที่คงที่ไม่เปลี่ยนแปลง ธรรมชาติเปลี่ยนแปลงมันไม่ได้ มันไม่มีการกัดกร่อน ไม่มีสิ่งใดๆ เลย ไม่มีการแปรปรวนเลย นี่ไงที่ว่าใจมันเหนือธรรมชาติไง แล้วเหนือธรรมชาติมันอยู่ที่ไหนล่ะ เหนือธรรมชาติมันอยู่ที่ไหน

ธรรมะนี่เหนือธรรมชาติ เหนือธรรมชาติเพราะจิตมันพิจารณาของมัน นี่เห็นไหม เขาบอกในเมื่ออริยสัจมันก็เป็นธรรมชาติ สัจธรรมก็เป็นธรรมชาติ แล้วธรรมะจะเหนือธรรมชาติได้อย่างไร ?

อ้าว.. ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มันเป็นสัจจะ เป็นอริยสัจจะเว้ย จิตที่มันกลั่นออกมานี่ จิตที่มันกลั่นออกมาเห็นไหม ที่ปฏิบัติกันปฏิบัติกันนี่ อู้ฮู..นี่ใช้ปัญญานะ อู้ฮู..พิจารณานะ อยากจะพูดว่าตอแหล ตอแหลทั้งนั้น ใครพิจารณา พิจารณากันอย่างไร เอาอะไรพิจารณา ทำอะไรกัน เล่นขายของเหรอ แคะขนมครกขายเหรอ

ความจริงนี่ถ้าจิตมันไม่สงบ จิตมันไม่เป็นไปนี่ มันไม่เป็นวิปัสสนาไปทั้งสิ้นนี่ ถ้าเขาวิปัสสนานะ ก็เหมือนกับเราเรียนหนังสือมานี่ เรียนหนังสือมา ๑ พรรษานี่ วิปัสสนาหรือยังล่ะ อ่านหนังสือมานี่เข้าใจหมดเลย วิปัสสนาบ้างหรือยัง แล้วนี่พอศึกษามาแล้วนี่ ทางวิชาการนี่มาวิตกวิจารกันนี่ มันก็คนละแง่มุม ต่างคนต่างคิดไป เถียงกันปากเปียกปากแฉะ

แต่ถ้าจิตสงบเป็นสากลเป็นอันเดียวนะ พุทโธ พุทโธนี่ หรือปัญญาอบรมสมาธิจิตสงบเข้าไปแล้วนี่ จิตสงบก็จิตสงบไง จิตสงบคือสสารที่มันสงบตัวลง แล้วสสารที่มันสงบตัวลง ยังไม่ได้แก้ไขอะไรเลยไง สิ่งที่ยังไม่ได้แก้ไขอะไรเลย สิ่งที่ว่าวิปัสสนา ถ้าจิตไม่สงบ เราจะบอกว่าถ้าวิปัสสนานี่มันต้องเกิดจากจิตสงบก่อน

เหมือนกับเราจะจดทะเบียนบริษัท เรายังไม่จดทะเบียนบริษัท บริษัทนี้เป็นบริษัทนิติบุคคลขึ้นมาได้หรือยัง ยังไม่ได้ เราจะฝากเงินโอนเงิน เราไม่มีบัญชีเลย เราไม่มีบัตรไม่มีการ์ด มันจะใช้เงินได้ไหม ไม่ได้หรอก ถ้าไม่มีจิตไม่มีเราไม่มีความทุกข์ ไม่มีสิ่งต่างๆ ที่ออกไปเคลื่อนไหว ออกไปกระทำการต่างๆ

อะไรเป็นคนไปวิปัสสนา อะไรเป็นคนไปทำงานขึ้นมา อะไรเป็นคนรับเหตุผลดีและผลชั่ว เหตุการณ์กระทำ สิ่งต่างๆ ที่กระทำ ถ้าไม่มีที่มามันจะใครเป็นคนรับผลดีผลชั่วนั้น

นี้ผลดีผลชั่วนั้น พวกเรายังหาผลดีผลชั่วกันไม่เจอ เรายังไม่รู้ว่าใครเป็นใครเลยนะ นี่ทุกคนมีชื่อหมดเลย เอ็งไปเขตแล้วเปลี่ยนชื่อสิ เปลี่ยนเป็นคนใหม่แล้ว นี่ไง นี่ไอ้นี่เป็นสมมุติทั้งนั้นเลย ชื่อของเรา ชื่อพวกเอ็งนี่ใครตั้ง พ่อแม่ตั้งให้นะ เอ็งไม่พอใจก็ไปเปลี่ยนที่เขตก็จบ แล้วพอเปลี่ยนเป็นชื่อใหม่แล้ว หลักฐานทางนิติกรรมเปลี่ยนใหม่หมดแล้ว เป็นคนเก่าหรือเปล่าล่ะ คนเก่านี่แหละแต่เปลี่ยนชื่อใหม่

นี่พูดถึงทางโลกนะ ถ้าจิตมันไม่สงบ จิตมันไม่มีความสงบ สิ่งที่ทำมา สิ่งที่เรียนมานี่นะมันเป็นสัญชาตญาณ การศึกษา สังขาร ความคิดความปรุงความแต่ง ความรับรู้ต่างๆ นี่มันเป็นนามธรรม แต่นามธรรมนี่มันก็เป็นโลก เป็นโลกอยู่คือว่าเป็นธรรม คือเป็นสัญชาตญาณ คือเป็นสิ่งที่ศักยภาพของมนุษย์ที่มันมีอยู่ มีจิตใจกับมีร่างกาย แต่ความมีจิตใจมีร่างกายนี่มันเป็นเรื่องโลกไง

เราจะบอกว่ามันเป็นเรื่องโลก มันเป็นเรื่องโลกคือว่ามันเป็นข้อเท็จจริงทางโลก แต่ธรรมะที่เราจะปฏิบัติธรรมกัน เราจะต้องหาตัวมันให้เจอก่อน หาตัวจิตนี้ให้เจอ ถ้าตัวจิตตัวนี้ เขาเรียกจิตตภาวนา ถ้าจิตมันสงบจิตมันออกรู้ออกใคร่ครวญ นั้นปัญญาอย่างนี้ นี่ปัญญาอย่างนี้มันถึงจะเป็นวิปัสสนา มันจะรู้จริงเห็นจริง แต่โดยการปกติทางปฏิบัติกับทางโลกมันเป็นปัจจุบันนี้ เขาบอกว่าเขาใช้ปัญญาไปเลย

ก็เหมือนพวกเรานี่ เอ็งนั่งคิดไปสิเป็นปัญญาไหม เอ็งว่าเป็นปัญญา เอ็งนั่งคิดสิ ทางวิชาชีพที่เอ็งเรียน แม้แต่เอ็งคิดออกไปสิเป็นปัญญาหรือยัง เขาบอกว่านี่เป็นปัญญาแล้ว แต่ปัญญาอย่างนี้ พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นสุตมยปัญญา คือปัญญาการเป็นสัญชาตญาณที่มันมีของมันอยู่เห็นไหม

แล้วปัญญาของพระพุทธเจ้านี่มันจะมีจินตมยปัญญา จินตนาการเห็นไหม จินตนาการของวิทยาศาสตร์เขา จินตนาการโดยความเห็นของเขา แต่ในการปฏิบัติของเรา เราจินตนาการนี่มันมีตัวนำ ตัวนำนี้คือธรรมะของพระพุทธเจ้า พอธรรมะของพระพุทธเจ้านี่ เราก็จะสร้างภาพ เห็นไหม

การจินตนาการของเรา มันจะจินตนาการได้ดีกว่าวิทยาศาสตร์ เพราะพระพุทธเจ้าของเรานี่ พระพุทธเจ้าปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ เป็นศาสดา เป็นผู้รู้ รู้ครบวงจรตามวัฏฏะทั้งหมด เข้าใจสัจจะ เข้าใจเรื่องการเกิดและการตาย เข้าใจเรื่องวงจรของกิเลส เข้าใจถึงเหตุและผล เข้าใจถึงว่าทุกข์เพราะเหตุใด ทำไมถึงทุกข์ ทำไมถึงมีกิเลส และมีธรรมะชนิดใดที่จะมาถอนกิเลสอย่างนี้

ถ้าถอนกิเลสอย่างนี้ เป็นขั้นเป็นตอนขึ้นไปเป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคา เป็นอนาคาเพราะเหตุใด นี่พระพุทธเจ้ารู้หมดเลย แล้วมันอยู่ในพระไตรปิฎกนี่ แล้วเราก็ศึกษากันมาแล้ว แล้วเราทำความสงบของเรา แล้วเรามีจินตนาการไป มันจะเพลิดแพร้วขนาดไหนวะ พอเพลิดแพร้วก็บอก โอ้โฮ..นิพพานเป็นเข่งๆ นะ นิพพานนี่เป็นยกเข่งหมดเลย ไม่มีหรอก ไม่มี

มันเป็นลิขสิทธิ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอ็งไปลักลิขสิทธิ์ของพระพุทธเจ้ามา ไม่ใช่ของเอ็ง เพราะจิตตภาวนาเรายังไม่ได้ทำ จิตตภาวนา จิตของเรานี่ เราออกใคร่ครวญของเรา มันเป็นการวิจัยของเรา เราเป็นคนพิสูจน์เอง แล้วทำของเราขึ้นมาให้เป็นการวิจัยของเรา โดยข้อเท็จจริงของการกระทำของเรา

ถ้ามันจะเหมือนกับพระพุทธเจ้า มันจะเหมือนใคร มันก็เกิดจากการกระทำ เกิดจากเหตุและผล เกิดจากการกระทำ เห็นไหม พระพุทธเจ้าให้เชื่ออันนี้ไง ไม่ให้เชื่อ! ไม่ให้เชื่อ! ไม่ให้เชื่อ! ไม่ให้เชื่ออะไรเลย! ไม่ให้เชื่อพระพุทธเจ้าด้วย !

ลิขสิทธิ์ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านี่ ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สร้างสมบุญญาธิการมาสุดยอด เอกนามกิง

พระพุทธเจ้าตรัสรู้แต่ละองค์ไม่มีซ้อน พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาเพราะบุญญาธิการ เพราะสร้างสมมา ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย นี่สร้างสมได้เป็นพันธุกรรมทางจิต

จิตที่มันสร้างพันธุกรรมกันมา ความรู้ความเห็นของคนแตกต่างกันมา เพราะพันธุกรรมที่มันเกิดตายเกิดตายมันซับซ้อนขึ้นมา เห็นไหม เหมือนซากฟอสซิลเลย กี่ล้านปีกี่ร้อยล้านปีนี่ มันสร้างฟอสซิลมา อันนั้นเป็นฟอสซิลนะ มันไม่มีชีวิตนะ

แต่ธาตุรู้นี่ จิตของคนมันมีธาตุรู้ มันเป็นสสารที่มีชีวิต มันพัฒนาการของมัน แล้วมันยิ่งกว่าฟอสซิลอีก เพราะว่ามันสะสมมานี่ เวลาพระพุทธเจ้าย้อนอดีตชาติไป ไม่มีต้นไม่มีปลายนี่ มันเป็นฟอสซิลที่มีชีวิตที่มีความรับรู้นี่ นี่มันสะสมมาสะสมมาในหัวใจเห็นไหม นี่มันก็ออกมาเป็นจริตนิสัย ออกมาเป็นความรับรู้ต่างๆ พระพุทธเจ้าสร้างมา ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย มันถึงมีปัญญา มีปฏิภาณมีความเห็น

ปฏิภาณนะ พระพุทธเจ้าไปเที่ยวสวนนะไปเห็นคนเกิด นี่อะไรล่ะ ไปเห็นคนแก่ ไปเห็นคนเจ็บ ไปเห็นคนตาย แค่นี้นะถามอำมาตย์นะ นี่มันอะไรนี่ นี่ๆ มีคนเกิด คนแก่คนเจ็บ คนตาย ธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้ นี่ธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติไง เป็นอย่างนี้เหรอ ถ้าเป็นอย่างนี้ เราก็ต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายด้วยสิ อย่างนี้ไม่เอา

นี่เห็นไหมคิดตรงข้ามเลย มันต้องมีไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย มันต้องมีตรงข้ามไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย แล้วไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายมันอยู่ที่ไหนล่ะ

นี่พระพุทธเจ้านะ เพราะปฏิภาณไหวพริบเพราะการสร้างมานะ พระพุทธเจ้าสร้างมาแล้วเป็นชาติสุดท้าย เห็นไหม พระเจ้าสุทโธทนะนี่ปิดกั้นทุกอย่างเลย เพราะต้องการให้พระพุทธเจ้านี้เป็นจักรพรรดิ นี่เห็นไหมคนสวยๆ งามๆ ทั้งนั้นเลย พอแก่เอาออก ไม่เคยเห็นคนแก่ ไม่รู้ว่าคนแก่เป็นอย่างไรนะ

ถ้ามันคิดแบบวิทยาศาสตร์นะ เป็นไปได้ไหมว่าเราเป็นมนุษย์นี่ มนุษย์ยังไม่รู้จักคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย แต่เพราะว่าบุญญาธิการสร้างมาอย่างนั้น มันช็อกไง

พออำมาตย์บอกว่านี่มันเป็นธรรมชาติ คนเป็นอย่างนี้ ทั้งคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันต้องมีตรงข้ามสิ คิดออกบวชเลย นี่เราบอกว่าปฏิภาณ ความรู้สึกนี่ บุญญาธิการของคนมันไม่เหมือนกัน มันถึงมองเหตุผลต่างๆ

ในวิกฤติของสังคมนี่แตกต่างกัน วิกฤติสังคมนะคนละมุมมอง มองแตกต่างกันมหาศาลเลย เพราะเบื้องหลังข้อมูลของจิต เบื้องหลังข้อมูลของจิต ถ้าในทางวิทยาศาสตร์เห็นไหมก็บอกว่านี่วิชาชีพ วิชาชีพเราเรียนมา เรามีวิธีการอย่างไรเราก็มองอย่างนั้น แต่ธรรมะมองลึกเข้าไปอีก มองลึกว่าเป็นจริตนิสัย เป็นจริตนะ

คนนะมีปัญญาศึกษามาก มีวิชาชีพ เข้าใจได้หมดเลย แต่มันโกง แต่มันโกงมันเอารัดเอาเปรียบนะ มันก็มองในแง่ที่ว่ามันจะได้ประโยชน์อะไร แล้วคนมีการศึกษามามาก เป็นผู้บริหารมาก แต่มีหัวใจเป็นธรรม เขามองแล้วเขาสลดสังเวช เขาเห็นเหตุการณ์อย่างนั้นแล้วเขาจะคิดว่า เขาจะช่วยเหลือได้อย่างไร เขาจะจัดการอย่างนั้น ประโยชน์สิ่งนั้นเพื่อสังคมได้อย่างไร

นี่มุมมองคนเห็นไหม มุมมองคนต่างกัน วิชาชีพอันหนึ่งนะ แต่ความดีความชั่วในใจนั้นอีกอันหนึ่งนะ แล้วมันมองเข้าไปนี่เห็นไหม นี่มันมีมุมมองอย่างนั้น นี่พันธุกรรมทางจิต

ทีนี้พันธุกรรมทางจิตนี่ แล้วใครรู้ของใคร นี่ถ้าใครรู้ของใคร ถ้าพอจิตมันสงบเข้ามา พอจิตมันสงบ พุทโธ พุทโธนี่จิตสงบเข้ามา จิตออกรู้ ออกรู้ในอะไร ของเป็นของพื้นๆ นะ พวกเรานี่ กาย เวทนา จิต ธรรมนี่ ที่คนเขารู้กาย

ยิ่งหมอนี่โอ้โฮ..พิจารณาผ่าหมดเลยนะ หมอผ่าตัดทุกวันเลยนะ แต่มันไม่เคยเห็นกาย มันแปลกตรงนี้ หมอนี่มันผ่าตัดทุกวันเลย เปลี่ยนหัวใจด้วย ผ่าสมองเลยนะ แต่มันไม่เคยเห็นกายนะ มันไม่เคยเห็นเลย เพราะมันเห็นด้วยตาเนื้อ มันเห็นด้วยวิชาชีพ ผ่าตัดสมองทีหนึ่ง ๓ แสน ผ่าตัดหัวใจทีหนึ่งกี่แสน นี่มันผ่าทุกวันเลย แต่ไม่เคยเห็นกาย ไม่เคยเห็นเลยนะ เห็นอย่างนี้เห็นแบบวิชาชีพ

แต่ถ้าจิตมันสงบนะ มันเห็นกายของมันนะ การพิจารณากาย การพิจารณากายด้วยจิตใต้สำนึก จิตใต้สำนึกของเรานี่มันยึดมั่นว่าเราคือเรา แต่พระพุทธเจ้าบอกไม่ใช่ ไม่ใช่เพราะหัวใจพระพุทธเจ้าเป็นศาสดา เป็นผู้รื้อค้น รู้แจ้งในใจของพระพุทธเจ้า แล้วบอกไว้เป็นทฤษฎี เห็นไหม ลิขสิทธิ์นี้ของพระพุทธเจ้า เราก็บอกว่ากูก็รู้ กูโกงมาเลยนะว่าเป็นของกูนะ แต่จริงๆ แล้วมันละได้ไหม ถ้ามันละได้อย่างนั้นนะ ถ้าพูดถึงนะ จิตของเรานี่นะ ว่ากายกับจิตนะ กายนี่ไม่ใช่ของเรา เราอาศัยมันชั่วคราว

นี่คนมีสติปัญญามาก สติปัญญาของคนนี่มันจะทำชีวิตของมันให้มีคุณค่า เพราะชีวิตนี้มีค่ามาก เพราะเราเกิดมานี่เรามีอายุขัยหนึ่ง ถ้าเราปฏิบัติไปถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้วนี่ จิตนี้มันจะไม่เกิดอีก แล้วพอจิตนี้มันได้สัมผัสนะ

พอมันเข้าไปได้สัมผัสว่า ความเห็นว่ากายนี้ กายนี้เป็นของเรา จิตใต้สำนึกมันหวงแหน พอพิจารณาไปมันพิจารณาเห็นกาย พอเห็นกายนะ นี่หมอได้ผ่าตัดทุกวันเลย มันไม่เคยเห็นกายเลย เพราะมันเห็นด้วยตาเนื้อ แต่เวลาผู้ปฏิบัติของเรานี่ พอจิตสงบ มันไม่เห็นด้วยตา มันเห็นด้วยจิต

จิตสงบนี่จิตมันเห็นนะ มันเห็นเป็นภาพนิมิตไง มันเห็นเป็นภาพจากข้างใน จิตมันเห็นนะ ถ้าตาเห็นสมองคิด มันเป็นอนาคต อนาคตเพราะอะไร เพราะสมองนี่คิดเองโดยธรรมชาติไม่ได้ สมองคิดเองไม่ได้ สมองไม่มีพลังงานของใจ สมองจะทำงานไม่ได้ คนตายก็สมองอยู่อย่างนั้น

คนพิการอัลไซเมอร์ สมองก็อยู่ของเขา แต่สมองคิดของมันเองไม่ได้ แต่ถ้าพอมีพลังงาน พลังงานคือตัวใจ ตัวใจนี่เป็นพลังงานเข้าไปในสมองเห็นไหม นี่มันเคลื่อนออกมาจากใจไปถึงสมอง สมองจะคิดได้โดยสถิติ โดยวิชาชีพ โดยความรู้ของมัน แล้วเดี๋ยวก็ลืมต้องทบทวน ต้องทบทวน ต้องทบทวนตลอดเวลา เพราะสมองนี่เป็นการคำนวณข้อมูลที่มันเก็บไว้ที่สมอง

เวลาจิตมันออกไปที่สมองเห็นไหม นี่มันเป็นอดีตอนาคต หมายถึงว่าพลังงานนี้มันไม่เป็นปัจจุบัน เวลาจิตมันสงบเข้ามานี่ ตัวจิตมันเป็นสากล ตัวจิตมันเป็นตัวจิต มันไม่ใช้สมอง ตัวจิตมันไม่ต้องใช้สมอง มันมีปัญญาของมันเอง พอมีปัญญา พอจิตมันสงบเข้ามาแล้วนี่ พอมันพิจารณากาย คนที่ จิตตัวที่สงสัยอยู่ว่าทุกอย่างเป็นของเรา ที่มันยึดนี่มันไม่ใช่สมองยึด มันจิตยึด มันเป็นความรู้สึกยึด ไม่ใช่สมองยึด พอตัวจิตมันเป็นตัวยึด ถ้าตัวยึดมันสงบตัวเข้ามาเห็นไหม แล้วมันออกรู้ออกเห็นโดยของมัน โดยจิตเห็นกาย จิตเห็นเวทนา จิตเห็นจิต จิตเห็นธรรม พอจิตเห็นนะ นี่สติปัฏฐาน ๔

กาย เวทนา จิต ธรรมโดยจิต ไม่ใช่โดยสมอง ไม่ใช่โดยตำรา ไม่ใช่โดยสัญชาตญาณ ไม่ใช่ด้วยจินตนาการ ไม่ใช่ความรู้ของเรา มันเป็นสัจธรรมทั้งหมด สัจจะความจริง ถ้าจิตมันลงของมัน แล้วถ้ามันเห็นของมันนะ พอจิตมันเห็นกายนะมันจะผงะเลย มันสะเทือนหัวใจมาก สะเทือนหัวใจเพราะอะไร สะเทือนหัวใจเพราะว่า สิ่งนี้เหมือนเรานี่ นี่ทุกคนนะ สมมุติว่าเรานี่ไปหาหมอ หมอบอกว่านี่เป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย อีก ๒ วันตาย โอ้โฮ..ใจแป้วเลยนี่

นี่ก็เหมือนกัน พอจิตมันไปเห็นกายขึ้นมานี่ มันไปเห็นถึงความเป็นไปของมัน ไปเห็นถึงความหลงผิดของมัน มันสะเทือนหัวใจไหม เหมือนไปหาหมอ แล้วหมอบอกว่าอีก ๕ วันตาย เอ็งต้องตายภายใน ๕ วัน โอ้โฮ..ทรัพย์สมบัตินะไม่เอาแล้ว ไม่อยากได้อะไรเลย ไม่อยากตาย

พอจิตมันไปเห็นกายของมันนี่ มันสะเทือนอย่างนั้นเพราะ เพราะมันเห็นความหลงผิดของมัน เห็นความหลงผิดของมัน โดยสัจจะของมัน พอจิตมันเห็นเห็นไหม พอจิตมันเห็นนี่ ถ้าจิตมันเห็น จิตมันจับสิ่งที่มันเข้าใจผิด ทิฐิไง

สักกายทิฏฐิ ทิฐิคือความเห็นผิด จิตใต้สำนึกนี่มันเห็นผิดมันไม่เข้าใจของมัน มันเลยผิดพลาดไปหมดเลย แล้วผิดพลาดไปหมด แล้วจะแก้ไขมันอย่างไร แล้วแก้มันนะ โดยวิทยาศาสตร์นะ ร่างกายของมนุษย์นี่ เวลาตายไปนี่ ๗ วันใช่ไหม ๓ วัน ๗ วันนี่มันจะพุพอง มันจะเน่าเปื่อยไปของมัน มันต้องใช้กาลเวลา แต่พอจิตมันเห็นกายของมัน ถ้ามันมีกำลังมีสัมมาสมาธิของมัน มันใคร่ครวญของมันด้วยวิปัสสนาญาณนะ ถ้ามันแปรสภาพนี่ มันจะแปรสภาพพั่บ พั่บ พั่บ เป็นปัจจุบันหมดเลย ไม่มีอดีตอนาคตเลย

มันจะเป็นพั่บ พั่บ เพราะว่ามันถึงกัน มันเร็วถึงกัน พอมันเปลี่ยน จิตมันถ้ามีกำลังนะให้แปรสภาพไปเลยให้เป็นไตรลักษณ์ไง ให้เป็นไตรลักษณ์ ที่ว่าเป็นอนัตตา แปรสภาพเป็นอนัตตา ไม่ใช่ มันเป็นอนัตตาโดยตัวมัน มันแปรสภาพโดยตัวมันเอง แต่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่มีใครเป็นผู้รู้ ไม่มีใครเห็นจริง มันเป็นอนัตตาของมัน ก็เป็นอนัตตาโดยธรรมชาติของมัน

เงินในธนาคารชาตินี่มีล้นฟ้าเลยนี่ เราได้อะไรบ้าง เงินจะมีประโยชน์ต่อเมื่ออยู่ในกระเป๋าเราโว้ย นี่ก็เหมือนที่มันเป็นอนัตตา สรรพสิ่งเป็นอนัตตา แล้วมึงได้อะไรล่ะ เพราะมึงไม่เปิดบัญชีไง เพราะมึงไม่รู้จักจิตของมึงเองไง เพราะมึงไม่เริ่มวิปัสสนาไง เพราะมึงไม่หาตัวตนไง พอหาตัวตนขึ้นมานี่ มีบัญชีขึ้นมานี่ ธนาคารชาติเหรอ ธนาคารชาติไหลเข้ามาบัญชีเราสิ ไหลเข้ามาสิ มาในบัญชีเราหมดเลย

นี่พอจิตมันเห็น จิตมันเข้าใจ มันพิจารณาของมัน มันเข้าถึง มันสะเทือนถึงหัวใจ มันปล่อยพั่บ พั่บ พั่บเลยนะ เพราะมันจะเร็วมาก ความที่มันเร็วมากนี่มันเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงเดี๋ยวนั้นเลย เปลี่ยนแปลงจนให้จิตนี้เถียงไม่ขึ้นเลย มันร้องเข้ามาจน เอ้อะ เอ้อะ พูดอะไรไม่ออกเลยนี่ มันเป็นโดยตัวของมันเองนี่ คำว่าพูดอะไรไม่ออกนี่มันกลับมีปัญญานะ

แต่พวกเราบอก อู้ฮู อย่างนี้มันแบบว่าซื่อบื้อ มันพูดอะไรไม่ออกเลย มันต้องโอ้โฮ..มีปัญญามากสิ ปัญญาอย่างนั้นมันปัญญาของกิเลสไง ปัญญาอย่างนี้ปัญญารู้แจ้งไง ปัญญาการถอดถอนไง ถอดถอนสิ่งที่ปักเสียบอยู่ในหัวใจนี่ มันถอดออกมา ถอนออกมาถอนออกมา ต้องถอนบ่อยครั้งจนถึงที่สุดเลย พอถึงที่สุดนี่มันขาดของมัน กระบวนการของมัน มันจบของมัน

กระบวนการของมันต้องมี ถ้ากระบวนการของมันมี มรรคญาณเกิดได้อย่างไร ปัญญาญาณเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ที่ว่านี่เป็นปัญญา ใช้ปัญญาๆ นี่ คอมพิวเตอร์กูดีกว่ามึงอีก คอมพิวเตอร์กูนี่กูสร้างได้หมดเลย ปัญญาอย่างนี้สู้คอมพิวเตอร์ไม่ได้ด้วย

แต่ถ้าปัญญาของเรานี่ คอมพิวเตอร์มันไม่มีชีวิตนะ แต่ถ้าปัญญาของเรา เรามีชีวิตเรามีความรับรู้นะ มันสะเทือนของเรานะ มันถอดถอน พอถอดถอนขึ้นมานี่ พอมันถอนบ่อยครั้งเข้าๆ มันอยู่ที่พันธุกรรมทางจิต อยู่ที่อำนาจวาสนาของคน

บางคนพิจารณาบ่อยครั้งเข้า ๒ ครั้ง ๓ ครั้งมันก็ปล่อย ปล่อยมันก็ขาดได้ บางคนต้องพิจารณามากกว่านั้น บางคนพิจารณาไปแล้วนี่ มันยังสู้กันไม่ได้นี่ มันยังมีความสงสัยอยู่ มันยังมีการยึดมั่นของมันอยู่นี่ ต้องกลับมาทำความสงบของใจ แล้วสู้

มันอยู่ที่อำนาจวาสนาของคน อำนาจวาสนานี้เกิดจากการกระทำแต่อดีตชาติ แต่สิ่งที่เราสะสมมา ไม่ใช่อำนาจวาสนามันลอยมาจากฟ้าหรอก ไม่มี พุทธศาสนาไม่บอกว่า ไม่มีลอยมาจากฟ้า ไม่มีว่ามันจะเป็นไปได้เอง ไม่มี พุทธศาสนามีเหตุมีผล มีที่มาที่ไปทั้งหมด มานั่งกันอยู่นี่ คือมีที่มาที่ไปทั้งหมดแหละ นี่มาจากพ่อจากแม่ แล้วพ่อแม่ก็มาบวช บวชเสร็จแล้วนี่ ทางวัดก็ส่งมา นี่ส่งมาเดี๋ยวเสร็จแล้วก็จะกลับ มันต้องมีเหตุมีปัจจัยมันถึงมีมา ไม่มีอะไรลอยมาจากฟ้า ไม่มี ! ไม่มี !

ทุกอย่างต้องมีเหตุมีผล มีการกระทำของมัน มันต้องเป็นความจริงของมัน แล้วพอเป็นความจริงขึ้นมาอย่างนี้ เราแก้ไขขึ้นมาอย่างนี้ นี่ความจริงมันแก้ไขแล้วมันรู้จริงของมัน นี่พัฒนาการของมันต้องมี ถ้าใจของเราเป็นอย่างนี้เห็นไหม นี่พอมันรู้จริงของมัน พอมันปล่อยมันขาดนะ

พอมันขาดนะ กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ อ้าว..ก็ไหนว่ากายเป็นของเราไง ทำไมกายมันแยกออกไปล่ะ จิตมันแยกออกไป ทุกข์มันแยกออกไป อ้าว..แล้วจิตที่มันรวมลงเป็นอย่างไรล่ะ อันที่มันถอนออกมาไง มันถอนเลย พอมันถอนขึ้นมา นี่โสดาบัน

นี่พิสูจน์กันอย่างนี้ ไม่ใช่โอ๋ยวิปัสสนานะ โอ๋ยใช้ปัญญานะ ปัญญาวิปัสสนาสายตรงก็ว่ากันไปนะ ปากเปียกปากแฉะ ๕ ชาติ ๑๐ ชาติมันก็ย่ำอยู่กับที่นั่น มันย่ำอยู่กับที่ มันย่ำอยู่กับที่มันไม่เห็น มันย่ำอยู่กับที่ของมัน

อื้ม พอมันทำมันต้องมีที่มาที่ไป มันจะทำหลักลอยอย่างนั้นไม่ได้หรอก ไอ้อย่างที่ทำหลักลอย มันทำลอยๆ ไป แล้วก็อ้างว่าศาสนานี่ทำเพื่อศาสนา ศาสนาสอนกันอย่างนั้น วิปัสสนาสายตรงๆ ก็ว่ากันไป

แต่ถ้าเราทำจริงนะ นี่พูดถึงเรียนมาแล้วนี่ การบวชการเรียนของเรานี่มีคุณค่ามาก ถ้าเราไม่บวชไม่เรียนนี่ เราเกิดเป็นชาวพุทธนะ แล้วก็ใกล้เกลือกินด่างนี่ บางคนไม่ได้บวชนะ คนไม่ได้บวชนะไม่ได้รสชาติแบบพวกเรา เราบวชขึ้นมานี่ ๑ พรรษานี่ เราก็เข้ามาอยู่ในนี่ เราเป็นสังคมเดียวกัน สังคมเราเป็นพระด้วยกัน ใช้ชีวิตดำรงชีวิตด้วยกันนี่ มันจะรู้ถึงความเป็นบัณฑิต บัณฑิตไง

เขาว่าการบวชแล้วนี่เป็นบัณฑิต บัณฑิตคือการรู้ รู้เรื่องชีวิตเรื่องพระพุทธเจ้าสอนสัจธรรมอย่างนี้ แล้วเราออกไปนี่ ชีวิตเอ็งนี่เห็นไหม โบราณนะ ถ้าเขาไม่ได้บวชนะไปขอลูกสาวเขาไม่ให้หรอก เขาว่าคนดิบ เวลาบวชแล้วเขาว่าเป็นคนสุก ทีนี้พอบวชแล้วนี่ เราบวชเป็นประเพณีวัฒนธรรม บวชเพราะว่าเราเกิดจากพ่อแม่ เราก็ให้พ่อแม่ได้บุญกุศลใช่ไหม แต่ถ้าเราบวชใจของเราล่ะ เราบวชแล้วเราได้มรรคได้ผลเราขึ้นมาอีกล่ะ

อันนี้มันเป็น ประสาเรานะ มันไม่ใช่เป็นขึ้นมาง่ายๆ หรอก เพราะคนเรานี่มีความจำเป็นทุกคน เราเกิดมานี่มีความจำเป็นมีความรับผิดชอบ ไอ้ความจำเป็นอันนั้นนี่มันบีบคอ แต่ถ้าพูดถึงถ้าคนมีหลักมีเกณฑ์นี่ ความจำเป็นอย่างไร หรือมันจะบีบคออย่างไร มันจะแก้ไขอย่างไรเพื่อประโยชน์ของตัวเอง นั้นอีกเรื่องหนึ่ง

นี่พูดถึงทางออกนะ ทางออกของผู้ที่ปฏิบัติต่อเนื่อง ผู้ที่ปฏิบัติต่อเนื่อง ทรัพย์ทางโลกนี่อริยทรัพย์ไง นี่การประพฤติปฏิบัตินี่เป็นอริยทรัพย์ อริยทรัพย์ที่เกิด อริยทรัพย์เห็นไหม ทรัพย์นี่เงินทองนับไง นี่เวลาให้นับ ให้เอาตังค์มากองไว้ให้นับ ใครนับได้มากเท่าไรเอาเลยนี่ อู้ฮู..นับกันทั้งวันเลยนะ

แต่บอกให้พุทโธ พุทโธนี่ นั่งหลับนะ เวลาบอกให้นับตังค์นี่โอ้โฮ..นับใหญ่เลย ไอ้นับตังค์มันกระดาษนะ ไอ้พุทโธนี่สะเทือนสามแดนโลกธาตุ สามแดนโลกธาตุที่ไหน สามแดนโลกธาตุที่หัวใจ เพราะใจนี่มันเกิดในสามแดนโลกธาตุนี้

คนที่มานั่งอยู่นี่ เคยเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหมมา เคยเกิดเป็นมนุษย์มา เคยเกิดในสัตว์นรกเดรัจฉานมา จิตนี้เคยเกิดมาหมด แล้วนี่พอพุทโธถึงต้นขั้วมันนี่เห็นไหม นี่สะเทือนสามโลกธาตุ จิตทุกดวงเวียนตายเวียนเกิด

แม้พระพุทธเจ้าก่อนที่ปรารถนาพุทธภูมิ พระพุทธเจ้าบอกพระพุทธเจ้าก็เคยตกนรกมาเหมือนกัน จิตของพระพุทธเจ้าเคยตกนรก เคยอยู่บนสวรรค์ นี่เวียนตายเวียนเกิดมาหมด แล้วจิตดวงนี้มากำหนดพุทโธ

พุทโธ พุทโธเกิดที่ไหน พุทโธเกิดจากจิต พอพุทโธ พุทโธ เราจะเห็นพุทโธ แล้วเอาไปแขวนไว้สิมันได้ประโยชน์อะไร พุทโธที่เรานึกว่าเรากำหนดขึ้นมาจากใจเรา ถ้าเราไม่กำหนด เราไม่วิตกวิจาร พุทโธเกิดขึ้นมาได้ไหม พุทโธเกิดขึ้นมาเพราะอะไร เพราะเจตนาที่เรานึกขึ้นมา แต่ถ้าเราไม่นึกขึ้นมาล่ะ ถ้าเราไม่นึกพุทโธขึ้นมานี่ จิตเราก็คิดโดยธรรมชาติของมัน สิ่งที่จิตมันคิดโดยธรรมชาติของมันนี่ นี่คือสวะ คือสิ่งเศร้าหมองในหัวใจ

แต่พอเรามาศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้วเห็นไหม นี่มันจะคิดโดยธรรมชาติของมัน เราบังคับให้คิดพุทโธ พุทโธคือพุทธานุสสติ พุทธานุสสติเห็นไหม เราคิดถึงพุทธานุสสติเราคิดถึงพระพุทธเจ้า เราคิดถึงพุทโธนี่ระลึกถึงพระพุทธเจ้าตลอดเวลา เราอยู่ใกล้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธเห็นไหม นี่พุทโธนี่ก็เป็นคำบริกรรม จิตมันเป็นธรรมชาติของมัน จิตนี่มันเป็นนามธรรม นี่มันแสดงตัวออกมาต่อเมื่อมันมีอารมณ์ความรู้สึก ถ้าไม่มีอารมณ์ความรู้สึกมันอยู่ไหน มันอยู่ไหน

นี่ถึงว่านะ ที่ว่าจิตต้องวิปัสสนานี่ เอาจิตวิปัสสนา ถ้าจิตมันไม่แสดงตัวเอาอะไรไปพิจารณา นี่พอพุทโธ พุทโธ พุทโธเห็นไหม พุทโธนี่พุทโธ พุทโธง่วงนอนนี่ พุทโธแล้วไม่รู้เรื่องเลย พุทโธแล้วเครียดหมดเลย นี่เราก็หาสมดุลของมัน เราพิจารณาของเราหาสมดุลของมัน พุทโธ พุทโธ พุทโธ พอมันพุทโธเห็นไหม

ความรู้สึกคือจิต ความคิดนี่เห็นไหมเป็นสัญญาอารมณ์ คนเราโดยธรรมชาติของมันนี่ มันมีความรู้สึกกับตัวจิต มันมีของมันอยู่แล้ว แต่เราไม่เห็นมัน แต่เรามีสัญญาอารมณ์มีความคิดตลอดเวลา เราคิดพุทโธ พุทโธเห็นไหม จากสิ่งที่เป็นสอง พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธไปเรื่อยๆ

พุทโธมันเกิดจากอะไร พุทโธเกิดจากจิต เกิดจากคำบริกรรม เกิดจากเราเป็นคนตั้งใจ เกิดจากเราเป็นคนคิด ถ้าเราไม่คิดพุทโธมันก็คิดของมัน แต่มันคิดเรื่องโลก คิดเรื่องสัญญาอารมณ์ คิดเรื่องความได้ความเสีย คิดเรื่องชอบใจไม่ชอบใจ แล้วเราก็ให้มันคิดพุทโธ แต่มันไม่อยากคิดหรอก มันไม่ยอมคิด ไม่ยอมคิดมันต่อต้านด้วย

พอมันต่อต้านพวกเราก็เครียด เพราะว่าพวกเราก็มีความวิตกกังวลเห็นไหม แต่เราก็พยายามหาสมดุลใช่ไหม ถ้ามันเครียดเราก็ผ่อนปรนมัน เราพุทโธสองคำได้ไหม ต่อรอง คิดในใจเลย อ้าว..พุทโธสองคำ คิด ๒ นาทีได้หรือเปล่า

นี่ใช้ปัญญาต่อรอง คำว่าต่อรองนี่คือโลกียปัญญา คือปัญญาที่เราจะหาสมดุลของเรา พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธเห็นไหม ความพุทโธนี่มันจะละเอียดเข้ามาเรื่อยๆ พุทโธมันจะระยะสั้นเข้าไป มันจะพุทโธแบบคล่องตัวขึ้น ดีขึ้นเห็นไหม สิ่งที่มันโน้มน้าว สิ่งที่มันเคยกดถ่วง มันจะเจือจางไปเรื่อยๆ คำบริกรรมพุทโธ พุทโธ พุทโธนี่การแสดงออกของจิต จิตนี่ตัวมันอยู่นี่ แต่พลังงานมันส่งออกตลอด แต่พุทโธ พุทโธ พุทโธเข้าไปแล้ว พอมันจิตสงบปั๊บ เออสบายๆ สบายๆ เดี๋ยวก็ออกมารู้อีกแล้ว ยากมากเลย

แต่ถ้าพุทโธไปถึงตัวมันนะ พอถึงมันมันเป็นหนึ่งขึ้นมานี่ พอเป็นหนึ่งไปถึงตัวมันเห็นไหม เอ้อะ เอ้อะ แล้วพุทโธอย่างไรล่ะ พุทโธไม่ออก นี่จากที่สัญชาตญาณ สัญชาตญาณเห็นไหม สัญญาอารมณ์กับพลังงานนี่ มันรวมเป็นอันเดียวกันได้ พอมันรวมเป็นอันเดียวกันนี่ นี่สัมมาสมาธิ แต่ในปัจจุบันนี้เราเป็นสอง ตัวพลังงานคือตัวจิตอันหนึ่ง ความคิดเป็นอันหนึ่ง แล้วเราบอกใช้ความคิดนี่ โอ้โฮ..วิปัสสนานะ โอ้โฮ..รู้ไปหมดเลยนะ

ไอ้เจ็บไข้ได้ป่วยมันอยู่ที่ตัวจิตนี่ มันไม่ได้อยู่ที่ตัวความคิดนี่ แล้วความคิดนี่คิดแล้วว่างๆ คิดธรรมะพระพุทธเจ้า โอ๋ย..คิดรู้ นิพพานสงบเย็น สงบเย็นนะ มึงคิดของมึงไปนี่ ลิขสิทธิ์พระพุทธเจ้ามึงเอาฉ้อฉลมานี่ แต่ไอ้ตัวจิตนี่ ไอ้ตัวจิตนี้ตัวกิเลสนะมันหัวเราะเยาะนะ แหม กิเลสนี้มันอยู่บนความคิด อยู่บนภวาสวะอยู่บนจิตของเรา แล้วพอเราคิดออกไปนี่มันหัวเราะเยาะเลยว่าทำไมไอ้จิตดวงนี้มันโง่ฉิบหายเลยนะ กูนั่งขี้บนหัวมันยังไม่เห็นกูเลยนะ

พุทโธ พุทโธ พุทโธจนเป็นอันเดียวกันนะ เอ้อะ พอเอ้อะแล้วนี่ กิเลสนี่นะพอเรามีสติปัญญา คำว่าสติปัญญานี่กิเลสมันจะแสดงตัวไม่ได้ กิเลสคืออะไร กิเลสคือตัวตนของเรานี่ ผู้ยึดมั่นถือมั่นตัวเรานี่แหละ ไอ้เพราะตัวตนของเรานี่ อีโก้ตัวนี้ มันทำให้เราไม่ยอมลงสิ่งใดเลย

แต่ถ้าพุทโธจนตัวมันแล้วนี่ มันเป็นสัจจะความจริง มันจะพิสูจน์อย่างไรก็ พิสูจน์อย่างไรก็เราเป็นคนทำเองไง เราเป็นคนจับต้องเอง มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นสิ่งที่เป็นเองในตัวเรานี่ เอ็งจะเถียงใครล่ะ เอ็งจะเถียงใคร

ถ้าจิตเราเป็นเองนี่ จิตเราเป็นเอง แล้วจิตเรามีสติปัญญาพร้อมนี่ เราจะเถียงใคร นี่ปัจจัตตัง รู้จำเพาะตน แล้วเป็นได้ แล้วทำได้ นี้คือสัมมาสมาธิ แต่อยู่ได้ชั่วคราวเดี๋ยวก็ออกอีก สัมมาสมาธิเกิดได้อย่างไร เกิดได้เพราะคำบริกรรม เกิดได้เพราะมีศรัทธาความเชื่อ เพราะเรามีการกระทำ ศรัทธาความเชื่อไม่ใช่ความจริงเห็นไหม แต่พอจิตมันสงบนี่เป็นความจริง จิตสงบเป็นความจริงนี่ ข้อเท็จจริงอันนี้เห็นไหม แล้วถ้าจิตอันนี้ออกวิปัสสนาออกรู้ ออกกระทำ ปัญญามันถึงว่าภาวนามยปัญญา จะไม่เป็นปัญญาที่เขาพูดกัน คุยกันในนี้

ภาวนามยปัญญาเกิดจากการภาวนาล้วนๆ แต่ในปัจจุบันนี้มันเกิดสัญญาอารมณ์ ปัญญาเกิดจากสัญญา เกิดจากข้อมูล เกิดแบบเราศึกษามานี่ นักกฎหมายก็เปิดทุกวันนี่ ไม่ได้ ตัวบทเดี๋ยวมันลืม นี่ต้องเปิดต้องดู เดี๋ยวต้องฟื้นฟูตลอดเลย นี่การทำงานก็ต้องหาประสบการณ์ตลอด นี่เรื่องทางโลก ทางโลกต้องยกไว้ โลกกับธรรมไม่เหมือนกัน แต่ในปัจจุบันนี้ ทางโลกพยายามบอกว่านี่เป็นธรรม เอาเรื่องของธรรมะกับโลกนี่มาคลุกเคล้ากัน

แต่ถ้าเป็นทางโลกเห็นไหม ทางโลกเราต้องยอมรับว่าเราเป็นโลก เราเกิดมาจากโลกนะ เราเกิดมาจากพ่อจากแม่ ถ้าในวิทยาศาสตร์ เราเกิดมาชาตินี้ พ่อแม่นี่คือพ่อแม่ของเรา พ่อแม่คือพระอรหันต์ของลูก ถ้าพูดโดยสิทธิ นี่พ่อแม่นี่เบ่งเราออกมา แล้วพ่อแม่ก็เลี้ยงมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย ถ้าพูดถึงว่าพ่อแม่เป็นเจ้าของเราได้ไหม ได้ พ่อแม่นี่เป็นเจ้าของเรานะ เพราะพ่อแม่เบ่งเราออกมา แล้วพ่อแม่ก็เลี้ยงดูเรามา ตามลิขสิทธิ์พ่อแม่นี่เอาเราเป็นสมบัติของท่านได้เลยล่ะ เรานี่เป็นสมบัติของพ่อแม่

นี่ไงที่ว่าพ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูกไง ก็พ่อแม่ให้ชีวิตเรามาไง แล้วพ่อแม่ยังเลี้ยงดูเรามา แล้วพ่อแม่ยังให้การศึกษามา พ่อแม่มีความรัก ความรักของใครที่สะอาดบริสุทธิ์เท่ากับพ่อแม่เราไม่มี ความรักของพ่อแม่ ไม่ต้องการสิ่งตอบแทนใดๆ จากลูกเลย เพียงแต่ต้องการให้ลูกนี่มีความตั้งมั่น มีอาชีพ มีจุดยืนในสังคม พ่อแม่จะมีความภูมิใจมากเลย พ่อแม่ไม่ต้องการปรารถนาสิ่งใดกลับมาเลย พ่อแม่ปรารถนาคือให้ลูกเราประสบความสำเร็จในชีวิต นี่ไงพ่อแม่ถึงเป็นพระอรหันต์ของลูก

นี่ถ้าเราศึกษาธรรมะอย่างนี้แล้วจะเข้าใจเลย แล้วจะซึ้งใจมากเลย ซึ้งใจว่าพ่อแม่นี่เป็นพระอรหันต์ของเรา นี่พูดถึงโลก พูดถึงความเป็นไปนี่โลกกับธรรม แต่ถ้าพูดถึงปรมัตถธรรม ปรมัตถธรรมเห็นไหม จิตหนึ่ง พ่อแม่ก็เคารพบูชา แล้วยิ่งเราเปิดใจพ่อแม่เข้าถึงทางศาสนา เปิดใจพ่อแม่เข้าถึงอริยสัจ เพราะ!

เพราะบุญกุศลอันนี้มันเลี้ยงข้ามภพข้ามชาติ นี่พ่อแม่มาทำสิ่งที่ดีๆ พ่อแม่จะเกิดเป็นเทวดาอินทร์พรหม เห็นไหม นี่เกิดในภพชาติปัจจุบันนี้ เราเลี้ยงด้วยคำข้าว แล้วพ่อแม่ทำดีขึ้นมา พ่อแม่ไปเกิดบนสวรรค์ล่ะ พ่อแม่นี่ใครเป็นคนทำให้ แล้วถ้าเกิดถ้าพ่อแม่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา พ่อแม่ลืมตาขึ้นมาล่ะ ลืมตาคือว่าจิตเป็นโสดาบัน สกิทาคา อนาคา

จิตของเรานี่นะมันไม่มีต้นไม่มีปลาย วัฏวน วัฏฏะนี่มันจะวนตลอด สสารจะหมุนไปไม่มีวันที่สิ้นสุด จิตของคนนี่มันจะเวียนในวัฏฏะ ไม่มีวันที่สิ้นสุด ไม่มีที่สิ้นสุดหรอก มันมีแรงขับ มันมีอวิชชา มันมีธรรมชาติของมัน มันหมุนของมัน ไม่มีวันจบ ไม่มีหรอก มันเกิดภพเกิดชาตินี่ โลกจะเปลี่ยนแปลง โลกนี่เป็นอจินไตย มันจะแปรสภาพขนาดไหนนี่ เขาว่านี่โลกร้อน โลกมันจะทลาย โลกมันจะทลายขนาดไหนนะ โลกก็กลับมารวมตัวกันใหม่

โลกก็จะเป็นโลกอยู่อย่างนี้ โลกมันจะเป็นอยู่ของมันอย่างนี้ มันจะแปรสภาพของมันอยู่อย่างนี้ แล้วจิตนี้มันจะเกิดในขณะที่โลกนี้มีความสมดุล ขณะที่โลกนี้ทุกข์ยาก จิตมันจะไปเกิดเป็นวรรคเป็นตอน อยู่ที่เวรกรรมของคนที่สร้างมา ทำความชั่วทำความไม่ดีมา เดี๋ยวมันจะไปเกิดในโลก ไฟบรรลัยกัลป์นี่ ไปอยู่ในไฟเผาร้อนอยู่ตลอดเวลา นี่เรื่องของโลกมันเป็นอย่างนี้

นี่จิตมันเวียนในวัฏฏะเห็นไหม แต่เวลาพิจารณาของเราไป ถ้าเราวิปัสสนาของเราไป ถึงที่สุดเป็นพระโสดาบันเห็นไหม อย่างมากเกิดอีก ๗ ชาติ อย่างมาก คำว่ามันต้องหมุนไปตลอด ไม่มีต้นไม่มีปลาย กลับมาอย่างมาก ๗ ชาติ หรือพระอานนท์ เป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคา พระอนาคา เป็นจนถึงสิ้นพระอรหันต์เลย จบเลย จบที่ไหน จบที่ถอนหมด ถอนหมดเลย อวิชชา ปัจจยา สังขารา สังขารา ปัจจยา วิญญาณัง ถอนอวิชชา ถอนความรู้ผิด นี่อนุสัยของจิตทุกอย่างถอนหมดเลย

พอถอนหมดเพราะอะไร เพราะพระอรหันต์นี่มันมีคนที่เป็นเจ้าของพระอรหันต์ จิตเวลาเวียนตายเวียนเกิดนี่โง่เขลาเบาปัญญานี่ อู้ฮู..นี่ ลืมตาอยู่อย่างนี้ แต่ไม่รู้ว่ามาจากไหนไง สืบให้ดีก็มาจากห้องคลอดในโรงพยาบาลไง แต่ถ้านั่งหลับตาขึ้นไปแล้วนี่ อดีตชาติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า อดีตชาติเราเคยเป็นพระเวสสันดร เห็นไหม ทศชาติ ๑๐ ชาตินะ เราเคยเป็นกวาง เราเคยเป็น อู้ฮู..เราเคยเป็นมาหมดเลย ย้อนไปอดีตชาติได้หมดเลย

ยังไม่ใช่ ถ้ามันยังไม่สิ้นสุด จุตูปปาตญาณจะเกิดอีกตลอดไป อาสวักขยญาณเข้ามาชำระ อวิชชา ปัจจยา สังขารา ถอนหมดเลย ถอนพลังงานทั้งหมด ถอนแรงขับ แรงขับ ความขับ ความบกพร่องของจิตที่มันหมุนไปนี่ พอเราถอนแรงขับหมดแล้วนี่ อาสะเวหิ จิตตานิ วิมุจจิงสูติ อาสวะสิ้นไป จิตนี้โดนทำลายหมด

ถ้าจิตโดนไม่ทำลายหมด จิตนี้ยังไม่ทำลายอยู่ มารมันไปหาที่ตั้งได้ มารมันหาอยู่ มารมันครอบงำอยู่ แต่ถ้าไม่มีภพไม่มีจิต ว่างเปล่า มารบอกกูหาไม่เจอไง แล้วกูจะไปปกครองมันอย่างไรล่ะ มารก็เลยไม่ได้ขี้บนหัวไง ไม่มีหัวจิตหัวใจให้ใครๆ ขี้รดอีกแล้ว แต่พระพุทธเจ้าเทศน์อยู่ ๔๕ ปีอยู่ที่ไหน

นี่พูดถึงว่านิพพานมีเจ้าของไง เจ้าของผู้ที่ปฏิบัติถึงนิพพาน เขาจะรู้ของเขา แล้วมันถามว่าสงบเย็นไหมล่ะ ถามเจ้าของนิพพานว่าสงบเย็นไหม วิมุตติสุขเป็นอย่างไร สุขโดยวิมุตติมันเป็นอย่างไร นี่สิ่งนี้มันมีในหัวใจเรา คือว่าเรามีใจนะ มีทุกอย่างพร้อม เรามีสิทธิไง ธรรมะพระพุทธเจ้านี่เสมอภาค

เราเกิดมานี่นะ เราเป็นญาติกันโดยธรรม ธรรมะไง ญาติกันโดยธรรม คือสัจธรรม เราเกิดมามีปากมีท้องเหมือนกัน เรามีสุขมีทุกข์เหมือนกัน เรามีความคิดเบียดเบียนในหัวใจของเราเหมือนกัน ความคิดเรานี่เบียดเบียนเรา ทำลายเราเหมือนกัน แล้วมีสัจธรรม เราเกิดมาพบพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่วางธรรมและวินัยไว้แล้วนี่ เราประพฤติปฏิบัติ ทฤษฎีมีอยู่แล้ว เทคโนโลยีมีนะ

แต่สมัยพระพุทธเจ้าไม่มี พระพุทธเจ้าไปเรียนกับอาฬารดาบส ไปเรียนกับเจ้าลัทธิต่างๆ ไม่มี ไม่มีความจริงไง ไปเรียนกับสิ่งจอมปลอม แต่พระพุทธเจ้าก็ตรัสรู้ขึ้นมานี่ แล้วพระพุทธเจ้าวางไว้

พระพุทธเจ้ากับพระปัจเจกพุทธเจ้าต่างกันตรงนี้พระปัจเจกพุทธเจ้าก็รู้เหมือนกัน ตรัสรู้เองโดยชอบเหมือนกัน แต่ ! แต่บัญญัติให้มันเป็นเทคโนโลยีวางไว้ให้กับคนอื่นไม่ได้ แต่พระปัจเจกพุทธเจ้าก็สอนได้ สอนได้ด้วยการสื่อของท่าน

แต่พระพุทธเจ้านี่เห็นไหม นี่ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย นี่วางธรรมวินัยอย่างนี้ไว้ แล้วเราเกิดมาพบพุทธศาสนา แต่นี่เวลาเราบวชมาเห็นไหม เราก็ศึกษาเล่าเรียนของเรา ตั้งแต่ทาน ศีล ภาวนา อริยสัจ สัจจะความจริง นี่เรื่องธรรมเรื่องวินัย ศึกษามาแล้วนี่ ศึกษานี่มันเป็นข้อมูลนะ มันเป็นสิ่งที่เตือนใจเราได้ เวลาเราออกไปแล้ว ถ้ามันทุกข์มันยากขึ้นมา ให้คิดถึงตรงนี้ เวลามันทุกข์มันยาก

พระพุทธเจ้าบอกไว้แล้ว สัจจะความจริงนะ ทุกข์ ชาติปิทุกขา ทุกข์คืออะไรไง ชาติความเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ชาติปิทุกขา ชราปิทุกขา มรณังปิทุกขัง นี่อริยสัจไง ทุกข์สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข์ ทุกข์คืออะไร ทุกข์คือชาติความเกิด แล้วเราเกิดมาแล้วนี่ เราปฏิเสธไม่ได้ เราปฏิเสธไม่ได้หรอก

ดูสิดูพระพุทธเจ้าสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย หมอชีวกเห็นไหม หมอชีวกเป็นหมอประจำองค์พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ายังเจ็บไข้ได้ป่วย แล้วเราเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างนี้ทุกข์ไหม เราขาดแคลนนี่ทุกข์ไหม ทุกอย่างมันทุกข์ทั้งนั้นแหละ ทุกข์เป็นสัจจะ ทุกข์เป็นความจริง เราเกิดมานี่เจอสิ่งนี้แล้ว

แล้วเราจะแก้ไขอย่างไร ถ้าเราจะแก้ไข ถ้าเราไม่แก้ไข เราก็ไปเผชิญกับมันไง เดี๋ยวออกไปจะรู้ว่าทุกข์ไม่ทุกข์ ! เดี๋ยวออกไปจะรู้ว่าทุกข์หรือไม่ทุกข์ !

มันจะสมความปรารถนาไม่สมความปรารถนา แต่ถ้าเป็นพระนะ กูจะหักมึงตรงนี้ กูจะหักมึงตั้งแต่ความคิดนี่ กูไม่ให้มึงออก กูไม่ให้มึงไป คือฝืนไม่ทำอย่างที่มันต้องการไง สิ่งที่มันต้องการ สิ่งที่มันปรารถนา ไม่เอา ไม่เอา แล้วสู้ แล้วสู้ไหวไหมล่ะ ไม่ไหว สู้ไม่ไหว สู้ไม่ไหวก็แพ้มันเห็นไหม ถ้าสู้ไหวนี่ อยู่โคนไม้ก็มีความสุข ที่ไหนก็มีความสุข

ชีวิตนี้เกิดมาแล้ว ใช่พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก แต่ความเป็นสัจจะความจริง พระอรหันต์ในหัวใจของเรา ถ้ามันเปิดเผยออกมาล่ะ เห็นไหมที่เขาพูดมาเห็นไหม เขาบอกจิตทุกดวงมีนิพพานอยู่แล้ว ทำเฉยๆ พอรู้เท่ามันก็นิพพานจะโผล่มาเอง

บอกอีกร้อยชาติ อีกแสนชาติ ไม่มีทางโผล่มาเองหรอก ถ้าไม่มีมรรคญาณ ไม่มีการกระทำ เพราะในมรรคเห็นไหม เพียรชอบ งานชอบ เลี้ยงชีพชอบ

งานชอบเห็นไหม งานชอบงานในอะไร แม้แต่ภาวนาอยู่นี่ ถ้าภาวนาผิดนี่งานไม่ชอบมันจะไปไหน ขึ้นรถกลับมาบอกจะเข้ากรุงเทพฯ นี่ หันหัวลงมาเลยสิ บอกเข้ากรุงเทพฯ เข้ากรุงเทพฯ รอบโลกก็กลับมากรุงเทพฯไง งานชอบ งานไม่ชอบ แม้แต่มรรคนี่ แม้แต่การกระทำอยู่นี่แหละ แม้แต่นั่งสมาธิอยู่นี่แหละ ผิดถูกมันอยู่ที่การกระทำนี่แหละ งานชอบ เพียรชอบ สติชอบ สมาธิชอบ ปัญญาชอบ แล้วมันก็ค่อยๆ พัฒนาของมันขึ้นไป

ถ้ามันไม่ชอบล่ะ ไม่ชอบมันก็มิจฉาไง มิจฉามันก็ผิดไง พอผิดที่เรามีปัญหาอยู่นี่เพราะความไม่ชอบ ความผิดพลาดไง แต่เราพยายามจะทำให้มันถูกต้อง ให้มันดีงาม ความผิดนะ คนทำงานแล้วไม่เคยผิดพลาดเลย ไม่มี พระพุทธเจ้า ๖ ปี ๖ ปี พระพุทธเจ้าปฏิบัติอยู่ ๖ ปี สุดท้ายไปศึกษากับใครมา จบแล้ว

ศึกษากับใครมาหมดพุงแล้ว พอหมดแล้วเห็นไหม อาฬารดาบสนี่จบแล้ว นี่เจ้าชายสิทธัตถะมีความรู้เหมือนเรา เป็นศาสดาเหมือนเรา สอนเราได้เลย พระพุทธเจ้าไม่เอานะ อย่างพวกเราไปให้อาจารย์องค์ไหนสิ บอกว่าโอ้โฮ..นี่ได้มรรคได้ผลนะ อู้ฮู..ตูดลอยเลยล่ะ พระพุทธเจ้าไม่เอา ไม่เอา เพราะมันไม่เป็นความจริง แล้วมาค้นหาความจริงกันเอาเอง

นี่ก็เหมือนกัน ใครจะติใครจะชมนี่นะ มันเรื่องของเขา มันพิสูจน์ได้ในใจเราว่าจริงหรือไม่จริง ในใจเรานี่โลเลไหม มันพิสูจน์ได้ที่นี่ ใครจะชมว่าเราดีขนาดไหนก็แล้วแต่ แต่ถ้าหัวใจยังทุกข์อยู่นี่ เราเชื่อเขาได้ไหม แต่ถ้าเราค้นหาของเรา

หลวงตาสอนประจำ ความชั่วความผิดพลาดของเรานี่ เราต้องหาเจอนะ คนอื่นหาไม่เจอ ไม่มี ถ้าเราทำผิด เรามีเล่ห์กลในหัวใจของเรา คนอื่นไม่รู้ไม่มีทาง แต่ถ้าเราค้นหาของเรา เราแก้ไขของเรา เราทำของเราให้หมดสิ้น

เราหาเราไม่เจอ แล้วใครจะหาเราเจอ ถ้าเราค้นหานี่ ความชั่วร้ายในหัวใจเรา ความเศร้าหมองในหัวใจ ความหมักหมมในหัวใจ เราพยายามรื้อค้นมัน แล้วแก้ไขมัน แล้วถ้ามันค้นจนมันไม่มีแล้ว ใครมันจะเจออีกวะ ใครมันจะมาเจอ

แต่ถ้าเราค้นจนเจอนี่นะ เราจะบอกว่า เรามีหน้าที่ เราต้องค้นหาของเรา เราต้องทำลายของเราก่อนไง ดีกว่าให้คนอื่นเขามาเห็น ดีกว่าให้คนอื่นเขามาเห็นว่านี่ความเศร้าหมอง ความลึกลับในใจเรานี่เขามาเห็น เขาเอามาประจานนี่ แต่เราทำมันซะก่อน ถ้าเรารื้อค้นเราหาของเราได้ เราค้นคว้าของเรา เราทำให้มันหมดสิ้นมันจะหมดของเรา แล้วถ้าเราไม่ทำของเรา มันก็เป็นโทษกับเราเองไง

พูดมาตั้งนานแน่ะ รอให้ถามนี่ มีปัญหาไหม อ้าว..ว่ามา เวลาอยู่วัดนี่เถียงกันทั้งวันเลย เรารู้ ยิ่งพระใหม่นี่เก่งนัก เวลามานี่ไม่เถียงเลย อ้าว..ว่ามา เอาเลย

 

ถาม : ถามพระอาจารย์ บวชนี้พ่อแม่ได้บุญ แล้วทีนี้ถ้าผมบวชมาประพฤติไม่อยู่ในเขตสังฆาวาส ไม่ทำกิจของสงฆ์แล้วก็..... (เสียงถามไม่ชัดเจน)

หลวงพ่อ : กรรม ใช่ บวชนะ นี่ประเพณีวัฒนธรรม นี่มันข้อเท็จจริงในพุทธศาสนาเลย เวลาบวชนี่พ่อแม่ได้ ๑๖ กัป พ่อแม่ได้บุญมาก ฉะนั้นมันเลยเป็นประเพณีวัฒนธรรมของเราชาวไทย ไทยใหญ่เขาไปอีกอย่างหนึ่ง ไทยใหญ่นี่บวชแล้วห้ามสึก เหมือนเมืองจีนนี่พระบวชเขาห้ามสึกเลย ถ้าไปสึกของเขานี่มีปัญหาเลยนะ นี่มันเป็นทัศนคติมหายาน แบบอาจริยาวาท แล้วแต่หัวหน้านี้พาทำมา

แต่เถรวาทเรานี่ เถรวาทนี่มันมีตั้งแต่สมัยพุทธกาลเห็นไหม ดูสิอย่างพระเจ้าปเสนทิโกศลก็มาบวชพรรษาหนึ่ง เคยมาบวชไง ทีนี้พอดูของเราเห็นไหม กษัตริย์จะออกมาบวช เพราะการบวชนี่ การบวชนะ ในประเพณีของทางภาคเหนือ มันจะมีต้นโพธิ์เห็นไหม แล้วมันจะมีไม้ค้ำนี่ เขาเรียกค้ำโพธิ์ เขาว่าได้บุญมากเลย เขาทำแค่นั้น เขาไม่ค่อยได้บวชกัน แต่ถ้าเป็นเถรวาทถ้าเป็นชาวพุทธ ประเพณีวัฒนธรรมแต่ละพื้นถิ่นมันไม่เหมือนกันนะ

นี้พอของเรา ของเรานี่ครูบาอาจารย์เราหรือว่าผู้ที่ปฏิบัติ เราต้องพูดอย่างนี้ หมอถ้าเขามีกล้องจุลทรรศน์เขามีทุกอย่างพร้อม เขาจะวิเคราะห์โรคได้ชัดเจนจริงไหม ในพุทธศาสนาเรานี่มีการประพฤติปฏิบัติมา

เช่น เราจะยกว่าหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นนี่เป็นพระอรหันต์ คำว่าพระอรหันต์ของเรานี่มันจะรู้แจ้งไปหมดเลย นี้รู้แจ้งนี่ พอรู้แจ้งนี่มันเป็นเกจิอาจารย์ เป็นอาจารย์ เป็นผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในพุทธศาสนา แล้วสั่งสอนวางรากฐานไว้ แล้วพวกเราก็เชื่อมั่นกันมา เห็นไหม

นี่แล้วท่านบอกว่า การบวชได้ ๑๖ กัป ได้ ๑๖ กัปเพราะอะไร ได้ ๑๖ กัปนะ เพราะ นี่นั่งอยู่นี่ DNA ของพ่อแม่ไง เพราะไข่ของแม่ ๑ใบ เราจะบอกว่าการบวชนี่เอาเลือดเนื้อเชื้อไขของแม่มาบวช ไข่ใบนั้นนี่ กับสเปิร์มของพ่อนี่ แล้วปฏิสนธิจิตของเรานี่ มันมาเกิดเป็นมนุษย์นั่งอยู่นี่ แล้วเราเอาเลือดเนื้อเชื้อไขออกมานี่ กินนมแม่กินนมแม่เห็นไหม กินเลือดในอก โตมานี่เอาเลือดในอกกินมา พอกินมานี่ พ่อแม่ที่ในพุทธศาสนาต้องการให้ลูกบวชเพราะเหตุนี้ เพราะเท่ากับท่านบวชไง

เวลาเราบวชนี่เท่ากับพ่อแม่บวชนะ เพราะเลือดเนื้อเชื้อไข อย่างที่พูดเมื่อกี้นี้เห็นไหม นี่ถ้าเราเป็นสมบัติ เราเกิดเป็นเรา ชีวิตเรานี่เป็นของพ่อแม่ได้ไหม เป็นลิขสิทธิ์ของพ่อแม่ ได้เห็นไหมเพราะท่านเลี้ยงเรามา ท่านเบ่งเรามาเอง ทีนี้สิ่งที่เบ่งเรามาเองนี่ เราเอาสิ่งนี้มาบวช นี่เพราะที่ชาวพุทธเรานี่ ชาวไทยอยากต้องการให้ลูกบวชมากเลย เพราะว่าถ้าลูกบวชแล้วนะมันได้บุญไง ได้บุญ ๑๖ กัป บุญมาก ๑๖ กัปเพราะ

ทางภาคเหนือเขาค้ำโพธิ์เห็นไหม เพราะเขาค้ำเป็นศาสนา เราบวชมาแล้วนี่ นี่ ๓ เดือน บวชกี่วันก็แล้วแต่ พอบวชมาแล้วนี่มันก็ค้ำศาสนา ค้ำศาสนาตรงไหน ค้ำศาสนาตรงที่ว่า ตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วนี่ พระสงฆ์เราไม่เคยขาดเลย

ดูสิสยามวงศ์ ลังกาวงศ์เห็นไหม ลังกาเมื่อก่อนนี้เป็นเมืองขึ้นนี่ไม่มีพระบวชเห็นไหม พระต้องมี ๕ องค์หรือ ๑๐ องค์ขึ้นไปถึงจะบวชได้ ถ้าไม่มีพระอยู่ นี่ที่ว่าภิกษุณีขาดไปเพราะเหตุนี้ไง ภิกษุณีขาดไปเพราะมันขาดช่วง ขาดช่วงมันถึงไม่มีภิกษุณีบวชต่อ คือไม่มีแม่แบบ แม่พิมพ์ไม่มีมันจะพิมพ์เป็นวัตถุออกมาได้อย่างไร

ทีนี้มันยังมีสงฆ์อยู่เห็นไหม พอมีสงฆ์อยู่นี่ เราเข้าไปเป็นสงฆ์ไหม เราเข้ามาค้ำศาสนาไหม เราเข้ามาในศาสนานะ นี่เราเป็นมดแดง เข้ามาเฝ้ามะม่วง แต่ยังไม่ได้กินมะม่วง ยังไม่รู้จักศีล สมาธิ ปัญญาโดยข้อเท็จจริง แต่เราเข้ามาค้ำโพธิ์ นี่สิ่งนี้เราเข้ามาค้ำ เพราะว่าตั้งแต่พระพุทธเจ้าปรินิพพานมา พระสงฆ์เรานี่ยังไม่ขาดด้วนไปไง ไม่ขาดด้วน

พอที่ไหนขาดแคลนเห็นไหม พระกัจจายะนะบอก ให้พระโสณะไปขอพระพุทธเจ้า ว่าชนบทประเทศนี่พระ ๑๐ องค์มันหาได้ยาก

เมื่อก่อนต้อง ๑๐ องค์ขึ้น แต่พอชนบทประเทศ ชนบทประเทศคือว่าหาพระได้ยากนี่ พระกัจจายะนะให้พระโสณะไปขอพระพุทธเจ้าว่า

๑.การบวชพระขอ ๕ องค์ก็บวชได้ ครบสงฆ์ ๕ องค์ก็บวชได้

๒.ขอรองเท้า ๒ ชั้น เพราะว่าขอรองเท้าหลายชั้นเพราะว่าอัฟกานิสถาน ย้อนอัฟกานิสถานเข้าไปในชมพูทวีปมันมีหินปูนไง รองเท้ามันรองรับไม่ได้ นี่ไปขอเพิ่มพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าอนุญาต

นี่มันถึงว่าเวลาบวชนี่ สงฆ์ต้องบวชเข้ามา สงฆ์ยกเข้าหมู่ นี่ตายจากคฤหัสถ์ ตายจากคฤหัสถ์นี่ ตอนนี้เป็นพระ ก. นี่พระ ก.แล้วฉายาเห็นไหม ฉายา เวลาตายไปแล้วก็เป็นพระ ก. นามสกุล นี่ตายจากคฤหัสถ์ ตายจากคฤหัสถ์มาเป็นสงฆ์

ตอนนี้นะถ้าพูดถึงทำผิดตามกฎหมาย กฎหมายจะผิดในของพระ ตอนนี้ถ้าทำผิดกฎหมายผิด ๒ ข้อ ทั้งวินัยสงฆ์ด้วย ทั้งกฎหมายโลกด้วย แต่ถ้าเราสึกไปแล้วนะ ผิดข้อเดียว กฎหมายทางโลก วินัยสงฆ์ไม่ผิด เพราะนี่เราตายจากฆราวาสมาบวชเป็นพระเห็นไหม ตอนนี้เราเป็นพระนะ แล้วถ้าสึกไปนะ ก็ตายจากพระไง แล้วก็ไปเกิดเป็นฆราวาสไง

นี่ไงยกเข้าหมู่มาไง การยกเข้าหมู่นี่ นี่ได้ ๑๖ กัป บวชนี่บวชแล้วจนประเพณีเขาถือนะ เวลาออกจากโบสถ์นี่เห็นไหม เขาจะใส่บาตรเขาจะทำบุญ เพราะพระออกจากโบสถ์นี่นะมันสะอาด แจ๋วแหววเลย มันเพิ่งบวชสดๆ ร้อนๆ มันไม่มีความผิดไง

แต่พอออกมาแล้วนี่ พอออกมาแล้วเห็นไหม ไม่บิณฑบาต ไม่ทำอะไรนี่มันก็เศร้าหมอง มันกรรมของเขาไง เวลาบวชมานี่ นี่สิ่งที่บวชมานี่ บุญของพ่อแม่ไปหมดเลย แต่ถ้าเรามาทำดีทำชั่วนี่ มันก็เป็นกรรมของเราแล้ว เป็นกรรมของเราแล้ว

ถ้าเรามาบวชนะ แล้วทำดี เราบวชแล้วนะ เราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ทำความดีมาก พ่อแม่คิดถึงเรานะ พ่อแม่ได้บุญมหาศาลเลย ถ้าเรามาบวชแล้วนะ เราทำความชั่ว เวลาพ่อแม่คิดถึงเรานะ ลูกเราไปบวชแล้วทำความชั่ว ทำชั่วแล้วสังคมเขาก็ติฉินนินทา ตระกูลเราก็เศร้าหมอง มันก็กรรมเห็นไหม

แต่เวลาบวชนี่ เมื่อกี้พูดใช่ไหมพระพุทธศาสนานี่ ไม่มีสิ่งใดลอยมาจากฟ้า ต้องมีเหตุมีผล ฉะนั้นเราต้องแยกเป็นประเด็นๆ ไป

ประเด็นที่บวช บุญเต็มๆ ๑๖ กัป ตัดทอนอะไรไม่ได้ แต่ถ้าเราบวชมาแล้ว เราทำความดีด้วย ทำให้ทุกอย่างเห็นไหม เชิดชูวงศ์ตระกูลด้วย มันทับถมเข้าไปอีกมหาศาลเลย แต่ถ้าเราบวชแล้ว เราทำความชั่ว เราทำสิ่งที่ผิด ทำให้โลกเขาติเตียนเห็นไหม ประเด็นที่บวชมันเป็นเรื่องประเพณีที่บวช อันนั้น ๑๖ กัปเรื่องหนึ่ง

เรื่องที่เราทำผิดพลาดมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อีกเรื่องหนึ่งเห็นไหม เหมือนกับทางกฎหมาย กี่กระทง ทำผิดกี่กระทง แล้วเวลาทำผิดเห็นไหม อาบัตินะทำซ้ำทำซาก แต่ละทีก็คนละกระทง ภิกษุฉันอาหารโดยที่ไม่ได้ประเคนเป็นอาบัติปาจิตตีย์ทุกคำกลืน เอ็งกินคำหนึ่งก็อาบัติปาจิตตีย์ตัวหนึ่ง สองคำก็สองตัว เวลาปลงอาบัติไง

นี่อาหารไม่ได้ประเคนใช่ไหม ภิกษุล่วงกิน เป็นปาจิตตีย์ทุกคำกลืน หนึ่งคำก็ปาจิตตีย์หนึ่งตัว สองคำก็สองตัว สามคำก็ปาจิตตีย์สามตัว เห็นไหมต่างกันนะ นี้ทำผิดนี่ ทำผิด ฉันนี่แหละ กินข้าวนี่แหละ คำหนึ่งปาจิตตีย์ตัวหนึ่ง สองคำก็สองตัว สามคำก็สามตัว สี่คำก็สี่ตัว นี่ไงกี่กระทงไง นี่ความผิดมันต่อเนื่องกันไปไง

นี่วินัยนี่ชัดเจนมาก วินัยเหมือนกฎหมายเลย เด็ดขาด เดี๋ยวธรรมะอีกเรื่องหนึ่ง ธรรมและวินัย ฉะนั้นตรงนี้นี่เราก็ต้อง ถ้าพูดถึงนี่เราพูดถึงผู้ที่บวชแล้วไม่ทำสิ่งนี้ ไม่ทำคุณงามความดี คือทนแรงกิเลสไม่ไหว บวชมาแล้วนี่ พระบวชใหม่ เป็นผู้ว่ายากสอนยาก พระบวชใหม่ทนได้ยากในคำสอนของธรรมและวินัย ของครูบาอาจารย์

พระบวชใหม่นี่ทนคำสอนของครูบาอาจารย์ไม่ได้เพราะอะไร เพราะพระบวชใหม่เข้าใจว่า ตัวเองนี่มีความรู้มีความเข้าใจ แต่ความจริงไม่มีความรู้เลย มีความรู้ทางโลก มีความรู้ทางวิชาการ

นี้คำว่าไม่มีความรู้เพราะอะไร เพราะยังไม่ได้ศึกษาธรรมวินัยพระพุทธเจ้าเลย แล้วไม่มีประสบการณ์ไง ว่าสิ่งใดควรและไม่ควร แค่ควรและไม่ควรนี่ยังไม่เข้าใจแล้ว อย่างเช่น นี่นะโดยกฎหมาย นี่ภิกษุมีพรรษาสูงกว่า ภิกษุมีพรรษาต่ำกว่ามานั่งสูงกว่า เป็นอาบัติปาจิตตีย์โดยธรรมชาติเลย โดยกฎหมายเลย ฉะนั้นถ้าอย่างนั้นนี่ อ้าวก็รู้จักกัน ก็เป็นคนกันเอง มันจะเป็นอะไรไปล่ะ อ้าวก็ถึงมา อาจารย์นั่งฉันก็นั่ง ก็ไม่เป็นไร

เราไม่เป็นไรนะ แต่มันผิดโดยวินัย ภิกษุที่ต่ำกว่า จะนั่งสูงกว่าภิกษุที่สูงกว่าไม่ได้ ภิกษุที่สูงกว่า จะไปนั่ง แบบว่าไปนั่ง เขาเรียกว่าไปขัดขวาง ไปกลั่นแกล้งคือนั่งกันท่า ภิกษุบวชที่มีอาวุโสมากกว่า ไปกันท่าภิกษุที่อ่อนกว่า ก็ผิดเหมือนกัน

นี้พระพุทธเจ้าเป็นธรรมนะ คือภิกษุที่ต่ำกว่า จะมานั่งที่สูงกว่าก็เป็นอาบัติใช่ไหม ภิกษุที่ แหม.. ฉันอาวุโสสูงสุดเลย ฉันนั่งขวางปากประตูเลย ไม่ให้ใครเข้า ภิกษุนั้นก็เป็นอาบัติเหมือนกัน มันเป็นอาบัติโดย ทำผิดคือเป็นหมด ทั้งอาวุโสทั้งภันเต แต่ใครทำคนนั้นเป็น

นี้เวลาทำนี่ ฉะนั้นเราศึกษาแล้วนี่ เวลาครูบาอาจารย์เราเห็นไหม เวลาภิกษุที่อ่อนกว่านี่ต้องขอโอกาส ต้องขอโอกาสก่อน มันเป็นอาบัติทั้งหมดนะ แต่ไม่เป็นแบบวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์คือตายตัวนะ

แต่ถ้าเป็นธรรมวินัยนะ อย่างเรานี่ ตอนนี้เรามีพรรษา ๑ แล้วเราบิณฑบาตมา แล้วเราจะนั่งฉันนี่ ถ้ามีพรรษา ๒ มานี่ เราต้องลุก ให้พรรษา ๒ นั่งสูงกว่า แต่ถ้าเราบิณฑบาตมา แล้วเราเริ่มฉันคำแรก ภิกษุพรรษา ๒ พรรษา ๑๐ พรรษา ๑๐๐ มา กูก็นั่งเฉยนี่ ยกเว้น เพราะพระพุทธเจ้าบอกว่า การฉันแล้วมันเกี่ยวกับอาสนะเดียว ถ้าอาสนะเดียวถ้าลุกแล้วนี่มันฉันไม่ได้

นี่ภิกษุพรรษามากกว่า ภิกษุมีพรรษาอ่อนกว่ามากราบ นี่กราบอย่างนี้นี่กราบได้ แต่ถ้าเรายังฉันข้าวอยู่มากราบ ภิกษุกราบเป็นอาบัติปาจิตตีย์ เพราะท่านยังฉันข้าวอยู่กราบไม่ได้ กาลเทศะ อย่างนี้ๆ ถ้าพูดถึงธรรมนี้ โอ้โฮ..อย่างนี้ไม่บวชหรอก โอ้โฮ..ยุ่งน่าดู โอ๋ย..อย่างนี้กลับบ้านดีกว่า เพราะอะไรเพราะเรายังไม่ศึกษาไง

ถ้าเราศึกษาเข้าไปแล้วนะ จะเข้าใจพระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้านี่นะ วินัยข้อนี้บัญญัติเพื่อคน บัญญัติไว้เพื่อพวกหน้าด้าน บัญญัติไว้เพื่อเป็นกฎ คนที่เก้อเขินนะ ในธรรมวินัยเห็นไหม วินัยบัญญัติเพื่ออยู่ความเป็นสุขของสงฆ์ นี่ดูสิ แล้วสังคมสงฆ์นี่มันใหญ่ แล้วสังคมนี่มันหลากหลาย ตั้งแต่กฎุมพี ตั้งแต่กษัตริย์ ตั้งแต่มาบวชในศาสนานี้ มุมมองทัศนคติของพระนี่มันจะเหมือนกันไหม

ฉะนั้นพระพุทธเจ้าถึงบัญญัติไว้ครอบงำ ปิดกั้นได้หมดเลย ตามวินัยเลย จะมั่งมีศรีสุขขนาดไหน บวชเข้ามาแล้วมีสิทธิเสมอกัน ศีล ๒๒๗ เท่ากัน แล้วอาวุโสภันเตตามกฎหมายนี้บังคับตายตัว แล้วพอบังคับตายตัวขึ้นมาแล้วนี่ เราจะทำอะไรนี่มันมีข้อยกเว้น บังคับตายตัวข้อยกเว้นนี่ ภิกษุไข้ ภิกษุผีเข้าไม่เป็นอาบัติเลย ภิกษุวิกลจริต เห็นไหม มันมีอาบัติ อนาบัติที่พูดเมื่อกี้ อนาบัติเพราะอะไรๆ นี่ ไม่เป็นอาบัติ ยกเว้นได้อย่างไรๆ

นี่พูดถึงเวลาเราปฏิบัติ เวลาที่ว่าพอเราปฏิบัติ บวชนี่พ่อแม่ได้ ๑๖ กัปแน่นอน แล้วถ้าทำคุณงามความดีด้วย มันแบบว่ามันเป็นบุญปัจจุบันไง มันเชิดหน้าชูตาพ่อแม่ แล้วมันก็เชิดหน้าชูตา คำว่าเชิดหน้าชูตาแล้วพ่อแม่ก็มีความสุขด้วย คิดถึงพระนี่นะ แล้วพระยิ่งลูกเรานี่มีคุณธรรมนี่ พอคิดแล้วนี่หัวใจมันเบิกบาน บุญนั้นมันเสริม บุญมันเสริมนะ แล้วถ้าลูกเป็นพระที่ดี ลูกที่มีคนนับหน้าถือตาเห็นไหม แล้วพ่อแม่ล่ะ พ่อแม่ได้บุญไปด้วยนี่

นี่ดู อย่างว่าขนาดที่ว่าเราพ่อแม่นะ ลูกประสบความสำเร็จ ลูกดำรงชีวิตได้พ่อแม่ก็ดีใจอยู่แล้ว แต่ถ้าทำอย่างนั้นได้มันต้องใช้กาลเวลา เพราะพระเรานี่ กว่าจะยืนขึ้นมาได้นี่ กว่าจะยืนขึ้นมาได้นี่ เราเทียบจิตใจของพวกเรานี่นะเหมือนเด็กอ่อน เหมือนเด็กๆ นะ เวลาเขาปฏิบัติกันนี่นะ

อย่างพวกมหายานเขาพูดนี่ พระอรหันต์นะ หิวก็กิน ร้อนก็อาบน้ำ หิวก็กิน นี่พระอรหันต์ของเขานะ ไอ้เราก็ตีความสิ หิวก็กินไง ทีนี้จิตใจเราเหมือนเด็กอ่อน เหมือนเด็กแบเบาะ หิวก็กินไง เด็กแบเบาะนี่มันไม่มีคนเลี้ยง มันหิวนะมันก็เอามือจิ้มขี้มันกินไง เพราะมันนอนแช่ขี้มันอยู่ไง หิวก็กิน หิวก็เอาขี้กินไง ร้อนก็อาบน้ำ ก็อาบน้ำเยี่ยวไง

นี่ของมันง่ายๆ แต่คนมันตีความไม่ออก มหายานเขาพูดนะเวลาถามพระอรหันต์ พระอรหันต์ดำรงชีวิตอย่างไรล่ะ อ้าว..หิวก็กินไง ร้อนก็อาบน้ำไง มันชีวิตประจำวันไง แต่พอเราไปดูเข้านะเราก็คิดว่า แต่นี่เราไม่ได้เข้าใจว่าจิตเราเป็นอย่างไรไง ถ้าจิตเราเป็นเด็กอ่อนอยู่เห็นไหม เรายังไม่ทรงตัวขึ้นมาไม่ได้เลย สติ เราไม่รู้จักหรอกสติเป็นอย่างไร สติความระลึกรู้ ระลึกรู้ อ้าวก็ระลึกรู้ ยังเถียงฉอดๆๆ เลยนะ อาจารย์พูดอะไรนี่เถียงฉอดๆ เลย อ้าว..ก็มีสติเถียงไง ยังไม่รู้หรอกว่ามันทำอะไรอยู่นั่น มันขาดสติ พอมันเถียงนี่มันผิดแล้วนั่น มันยังบอก ก็เถียงด้วยสติไง เถียงด้วยสติ

นี่มันความไม่เข้าใจเห็นไหม เพราะเราไม่เข้าใจสติ ไม่เข้าใจอะไรเลย ไม่เข้าใจเรื่องสมาธิไม่เข้าใจอะไรเลย แล้วหิวก็กิน ก็กินขี้ไง เด็กทารกมันนอนบนเบาะนี่ ก็แช่ขี้แช่เยี่ยวนั่น มันหิวเต็มที่นะ มันก็เอามือล้วงขี้กินนี่ ธรรมดา ดูดนิ้วนี่ทารกไง

นี่พอจิตเราเป็นทารกอย่างนั้น ไม่เข้าใจอย่างนั้น มึงเป็นคนโตขึ้นมาได้อย่างไร แต่ถ้ามึงจะเข้าใจ มึงศึกษาธรรมะเห็นไหม ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ เราศึกษาปริยัติ เราก็ศึกษามา แล้วปฏิบัติขึ้นมานี่ ภาคปฏิบัติครูบาอาจารย์ของเรานี่ ท่านถือตรงนี้เพราะอะไร เวลามันเศร้าหมองนะ ผิดศีลนะ แล้วมึงจะปฏิบัติอย่างไร

ขนาดเราอยู่ในป่าด้วยกันนี่ ขนาดพอตกเย็นขึ้นมา ถ้าคนมันถึงเวลานี่มันปลงอาบัติเลย ถ้าไม่แน่ใจในตัวเอง ถ้าศีลเราเศร้าหมอง เอ็งไปอยู่ในป่านะ อยู่ในป่าลึกๆ เมื่อก่อนนี่เรื่องคำว่าแรงคือภูตผีปิศาจมันแรง เมื่อก่อนถ้ำเจ้าผู้ข้านี่ ใครไปนอนไม่ได้เลย ไปนะให้ภาวนาอย่างเดียว

ถ้านอนนะ จับขานี่ดึงเลย แล้วใครพิสูจน์ได้เลย ถ้าไปนอนนะ นอนปกตินี่เขาไม่ให้นอนเลยล่ะ เขาจะให้เดินจงกรมนั่งสมาธิทั้งวันทั้งคืนเลย ที่ถ้ำเจ้าผู้ข้าสมัยก่อน เดี๋ยวนี้เบาไปเยอะเลย เมื่อก่อนนะถ้ามึงนอนนะ มึงจะโดน ไม่รู้อะไรมาดึงมึงเลยล่ะ แล้วที่มันแรงๆ นี่ แล้วเราถ้าผิดศีลผิดธรรมนี่ เอ็งคิดดูสิ เอ็งไปเจอสภาพอย่างนั้นเอ็งจะทำอย่างไร

นี่พูดอย่างนี้แล้วนี่คิดถึงเวลาประวัติหลวงปู่มั่นเห็นไหม หลวงปู่มั่นจะไปถ้ำสาริกานี่ เขาว่าอย่าขึ้นไปเลย พระตายไปแล้ว ๒-๓ องค์ หลวงปู่มั่นก็เลยบอก ขอไปดูหน่อย ขอไปดูหน่อย พอขึ้นไปแล้วนะท่านกำหนดดูของท่าน

พระที่ตายไปแล้วนะ แค่บิณฑบาตมา แล้วทางมันไกลใช่ไหม ก็เก็บไว้กินแรมคืนไง แค่นั้นเองนะ เป็นนิสสัคคีย์ปาจิตตีย์ สมมุติว่าเราไปบิณฑบาตมาใช่ไหม เราก็กินได้แค่ชั่วกาลใช่ไหม จบ แต่นี่มันทางไกลใช่ไหม เราบิณฑบาตมาแล้ว แล้วของแห้งก็เก็บไว้ พรุ่งนี้กินไง พออีกรุ่งขึ้นก็ไม่ไปบิณฑบาต ก็ฉันอาหารตรงนั้นไง ผิดแค่นี้นิสสัคคีย์ปาจิตตีย์

หลวงปู่มั่นบอก นี่ตายเพราะเหตุนี้ พอถึงเวลาปั๊บหักคอตายเลย คำว่าหักคอนี่เราก็หักคอ นี่หลวงปู่มั่นว่า แต่ถ้าเราเป็นนะ พอเขาเจ็บป่วยไง พอมันเริ่ม โอ๋ย.. คอช้ำนี่ โอ้โฮ..มันก็ปวดมันก็เน่าตาย ตาย ๒ องค์ ไม่ไปบิณฑบาต มาฉันแรมคืน นี่ถ้าเราไปอยู่ในป่าในเขา เดี๋ยวนี้มันแบบว่ามันเจริญหมดแล้วไง เดี๋ยวนี้ผีมันกลัวรถแทร็กเตอร์ แทร็กเตอร์ไปกวาดเกลี้ยงเลย ป่าไหนรถแทร็กเตอร์เข้านะ ช้างลากเกลี้ยงเลย ผีวิ่งหนีหมดไม่มีที่อยู่ไง

แต่มี จิตวิญญาณ อยู่ที่ไหนก็มี เขาอยู่ของเขาได้ นี่พูดถึงเวลาถ้าเราปฏิบัติไม่ดี สิ่งใด ทำแล้วเสียใจภายหลัง สิ่งนั้นไม่ดีเลย ฉะนั้นเราจะต้องตั้งสติ แล้วยับยั้งความรู้สึกเรา ความคิดที่มันพยายามจะเอาแต่ใจตัวเองนี่ ต้องยับยั้งมัน ยับยั้งมันด้วยสติ ถ้าไม่มีสติ ถามตัวเองว่ามึงบ้าหรือเปล่า

ไม่มีใครเอาใจเราอยู่หรอก นอกจากสติสัมปชัญญะของเรา ทำไมเขาทำกันได้ ทำไมเราทำไม่ได้ เรามีดีอะไรกับเขา มันไม่ใช่มีดีนะ มีชั่ว เขาทำดีกันเราไม่ทำเราชั่ว แต่กิเลสมันบอกกูดีไง ศักดิ์ศรี กูแน่กว่าไง

แต่เวลาผลตอบมานะ พอเวลาผ่านล่วงไปนะ นั่งเสียใจ ตอนนี้มีเยอะมาก เพื่อนๆ เมื่อก่อนเรายังไม่บวช เขาบอกเลยเขาสึกมาแล้วเขาเสียใจ เพราะเขาบวชไปแล้วนะเขาหยำเปไง เขาอยากบวชใหม่อยากมาแก้ไข แล้วบางคนถ้าทำอย่างนี้ออกไปแล้วนะ เวลาสึกไปแล้วนะ ไปประกอบสัมมาอาชีวะนี่มันจะติดขัด มันจะมีอุปสรรค แต่ถ้าใครทำดีของเรา เราทนของเรานะ เวลาเราสึกออกไปแล้ว เราไปทำสัมมาอาชีวะนะ มันจะปลอดโปร่งนะ กรรมมันมีจริงไง

เรื่องอย่างนี้ เราไปบวชพระมา เราอยู่ในวงการพระ มันมีพระอยู่องค์หนึ่ง เราเคยบวชกันอยู่ที่เมืองกาญจน์ พอเขาอยู่นั่น พอเขาเป็นสังฆาทิเสส เขาก็สึกไปเขาก็นึกว่าไม่มีปัญหาไง นี่เขาเล่าเองนะ เขามาเจอเราทีหลังเขามาเล่าให้เราฟัง เพชรบุรีนี่ เขาว่ามันเป็นแอ่ง มันเป็นเวิ้ง แล้วนาของเขาอยู่ตรงกลาง เขาบอกว่าทำนานะไม่เคยได้เลย มันจะมีผลเสียหายตลอด แต่มันแปลกที่ว่าข้างๆ เขาได้หมดเลย นาตัวเองอยู่ตรงกลางนะ แต่มันจะมีผลเสียหาย มีเพลี้ยลง มีอะไรลง จะเก็บเกี่ยวผล ไม่ค่อยได้ผล

แล้วมันหลายปีเข้า หลายปีเข้าก็ชักคิดถึงตรงที่ตัวเองหนีมาไง ชักคิดถึงกรรมที่ตอนบวชอยู่ไง สุดท้ายกลับมาบวชใหม่ กลับมาบวชอีกรอบหนึ่ง แล้วมาอยู่กรรม มาอยู่กรรม อยู่สังฆาทิเสส แล้วออกแล้ว พอจบแล้วสึกออกไป ไปทำมาหากินบอกว่าพออยู่พอกิน นี่เรื่องจริงนะ มีตัวตนชัดเจนมาก เพราะเขาบวชอยู่กับเรา คิดว่าสึกไปแล้วก็จบไง แต่เวลาออกไปทำมาหากินนะ ลุ่มๆ ดอนๆ ทุกข์ๆ ยากๆ จนเขาทุกข์ยากเอง เขาต้องกลับมาบวชใหม่เอง เพราะอันนี้มันคาใจเขาอยู่

นี่เวลาเราคิดว่าไม่เป็นไรในหัวใจเรานี่ แล้วกรณีของเรานี่เราเจออย่างนี้บ่อย เวลาเขามีปัญหาไง เรื่องวินัยนี่ ไอ้นั้นมันผิดพลาดของเขา แล้วเขาจะช่วยอย่างไร เขาจะทำอย่างไรของเขานั่นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะของอย่างนี้ พูดไปนี่คนเชื่อ หรือคนที่เขาฟังเป็นเหตุผลเขาก็แก้ไข ถ้าพูดกับคนไม่เชื่อนะ เขาหัวเราะเรานี่ฟันหักเลย เอาอะไรมาโม้ เขาหัวเราะฟันหักเลย

ฉะนั้นเวลาเราพูดอะไรนี่ มันจะต้องเป็นข้อเท็จจริง แล้วเขาจะเชื่อไม่เชื่อนี่มันเรื่องของเขา กรรมของสัตว์นะ กรรมของสัตว์ ถ้าสัตว์เขามีมุมมองอย่างนั้น เขามีความคิดอย่างนั้น มันไม่มีใครหรอกที่จะควบคุมความคิดของมวลชน ฝูงชน ให้เป็นอย่างที่เราปรารถนา อย่างที่พูดตั้งแต่ทีแรกไง พันธุกรรมทางจิตนี่ มันหลากหลายแตกต่างกันเยอะนัก แล้วคนมุมมองมันแตกต่างอย่างนั้นนี่ แล้วเราจะ

เหมือนเด็กเลยนี่ เด็กอนุบาลนี่ มันจะมีความรู้แบบผู้ใหญ่เป็นไปได้ไหม มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แล้วเราจะพยายามให้เด็กรู้เหมือนเรานี่ มันเป็นไปไม่ได้หรอก แต่ แต่เด็กถ้ามันโตขึ้นมา มันเรียนขึ้นมานะ มันเรียนสูงกว่าเราอีก มันดีได้กว่าเราอีก แต่มันต้องใช้เวลาไง มันต้องให้มันพัฒนาจนมันเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา จนมันมีการศึกษาขึ้นมา จนมันรื้อค้นของมันขึ้นมา แล้วมันจะรู้ รู้แบบที่เราตั้งใจสอนมันนั่นล่ะ แต่ขณะปัจจุบันนี่ เด็กอนุบาลกับเราคุยกันนี่ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้เรื่องหรอก

จิตก็เหมือนกัน ฉะนั้นเวลาเทศน์นี่ เราเทศน์นี่ จริงๆ นะไม่เคยกลัวอะไรเลย แต่โทษนะ มึงจะรู้ไม่รู้นี่ กูไม่รู้ เพราะว่าจะให้มันรู้นี่มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่มันเป็นหน้าที่ เราเป็นหน้าที่ หน้าที่ต้องแสดงธรรม ว่าธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่มันจริงๆ มีข้อเท็จจริง มีผู้รู้จริง มีผู้พิสูจน์ได้ แล้วพวกผู้ฟังที่เขาตั้งใจนี่ มึงจะพิสูจน์ได้ไม่ได้นี่ มันเรื่องของพวงมึง แต่ข้อเท็จจริงเป็นอย่างนี้ แล้วนั่งอยู่นี่ ให้ย้อนศรกลับมาได้เลย มีปัญหาโต้แย้งมาได้ทุกแง่มุม ใต้น้ำบนดินได้ทุกเรื่อง เพราะความจริงมันคือความจริง

นี่หน้าที่เป็นอย่างนี้ ทีนี้เราพูดถึงแล้วนี่ แล้วพูดเสร็จแล้วให้เขาเห็นเหมือนเรานี่ มันเป็นไปไม่ได้หรอก แต่ แต่ในสังคมเห็นไหม สังคมมันก็มีเหรียญสองด้านตลอด แล้วโอกาสของคนนี่มันเปลี่ยนแปลงได้ ถ้ามีคนมันจะเปลี่ยนแปลง มันจะแก้ไข ก็สาธุ เพราะมันเป็นประโยชน์ของจิตที่จะแก้ไขเอง มันไม่เป็นประโยชน์ของใครหรอก มันเป็นประโยชน์ของคนทำนั่นแหละ ใครทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว ก็เท่านั้นแหละ

อันนี้เพียงแต่ว่าเห็นไหม เรานี่เห็นไหม เราศาสนทายาท มีครูมีอาจารย์ มีผู้ชี้นำ มีร่มโพธิ์ร่มไทร ฉะนั้นครูบาอาจารย์เรานี่ท่านถึงเคารพบูชากัน เคารพบูชากันเพราะอะไร เพราะว่ามันพ่อแม่ครูจารย์ไง พ่อแม่ยังเลี้ยงเรามานะ นี่เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นครูเป็นอาจารย์ พ่อแม่นี่รู้แต่จริตนิสัย รู้แต่ความเป็นอยู่ของเรา แต่ครูบาอาจารย์นี่นะ รู้ถึงเรื่องความรู้สึกความนึกคิด ที่มาที่ไป ครูบาอาจารย์ของเราถ้าองค์ไหนเก่งๆ นี่ จะรู้ว่าเราเกิดมาจากไหนเลย เรามีกรรมอะไรเลย แก้กรรมได้ด้วย เห็นไหม นี่พ่อแม่ครูจารย์

ครูบาอาจารย์ของเราที่เราลงใจนี่ จะบอกว่ามีความรักเรา มีความปรารถนาดีกับเราดีกว่าพ่อแม่เราอีกล่ะ ก็พ่อแม่ก็เลี้ยงเรามาให้ตลอดรอดฝั่งเท่านั้นล่ะ ครูบาอาจารย์ยังอุ้มชูยังพยายามพลิกแพลง ยังทำให้หัวใจเราไปถึงที่สุดให้ได้ด้วย

โอ้โฮ..ถ้าเรามีครูบาอาจารย์ที่มันเป็นจริงนะ อู๋ย..มันเป็นอำนาจวาสนาเลยล่ะ ถ้าเราไม่มีคนชี้ทาง เราไม่มีเข็มทิศมันจะไปไหนกัน เราก็ย้อนกลับมาที่เรานี่ ย้อนกลับมาที่พวกเรานี่ เราจะมีอำนาจวาสนาแค่ไหน เราจะมีทัศนคติ จะมีมุมมองที่อู้ฮู..มุมมองที่ดี จะไม่มีอุปสรรคเลย ภาวนานี้มีแต่ทางถูกต้อง มันเป็นไปได้ไหม

ถ้ามีครูบาอาจารย์แล้วเจออุปสรรค ท่านก็ผลัวะ! เลยสิ เพราะท่านรู้แล้วนี่ อ้าว..ขับรถมานี่ ถ้าออกนอกทาง มึงแยกผิด มึงไม่มีทางหรอกจะไปเลย แต่ถ้าแยกผิดนะ ท่านก็ผลัวะ! เลย ฟังไม่ฟัง ถ้าฟังก็เป็นลูกศิษย์ครูบาอาจารย์กัน ถ้าไม่ฟังเราก็แยกออกไป เราก็ห่างออกไปจากศาสนา เพราะของอย่างนี้มันเป็นเวรเป็นกรรม มันเป็นเวรเป็นกรรมนะ ขนาดพระพุทธเจ้าเห็นไหม สมัยพุทธกาลนี่ พระบวชพระสึกเท่าไร บวชเยอะแยะ สึกเยอะแยะ แต่คนที่สำเร็จพระอรหันต์ก็เยอะ

นี่ไงเรารื้อสัตว์ขนสัตว์ไง หลวงตาท่านเปรียบเทียบ บอกว่าพระพุทธเจ้าจะรื้อสัตว์ขนสัตว์เหมือนภูเขาภูเขาหนึ่ง ในภูเขานั้น ต้นไม้มันก็มีหลากหลาย เราก็ใช้ดูจากต้นไม้ต้นไหนที่มันมีประโยชน์ ต้นไม้ไหนก็เอามันมาเป็นประโยชน์ ก็นี่ต้นไม้นั้น คือจิตใจของสังคม ของสัตว์โลก นี่มันก็เหมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง

นี่ท่านก็รื้อสัตว์ขนสัตว์ก็เอาแต่ต้นไม้นั้นมาเป็นประโยชน์ได้ ถ้าพ้นต้นไม้ แหม เถาวัลย์มันทำประโยชน์อะไรไม่ได้ จะเอามาเลื่อยทำเป็นสร้างบ้านแปลงเรือน มันเป็นไปไม่ได้หรอก เถาวัลย์เขาเอาไว้ผูก เราจะเอาเถาวัลย์มาเลื่อยมันเป็นไปได้อย่างไร มันไม่มีแก่น เป็นเส้นนิดหนึ่ง โอ้โฮ..ถ้าเป็นท่อนซุง โอ้โฮ..มันก็ได้ประโยชน์เห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน อยู่ที่หัวใจของเรา อยู่ที่ความคิดของเรา ไอ้สิ่งที่แล้วก็ให้แล้วกันไป คือว่าให้เตือนสติไง เตือนสติ ปฏิภาณไหวพริบ ปฏิภาณของเรานี่แหละ มุมมองของเรานี่แหละ ถ้ามุมมองเราดี แล้วมันก็อยู่ที่หัวใจด้วย ถ้าหัวใจเราดี มองสิ่งใดก็ดี ถ้าหัวใจขุ่นมัวนะ โอ้โฮ ทำไมนี่มันกีดขวางไปหมดเลย ถ้าหัวใจดีนะ โอ้โฮ..สวยงาม ดีหมดเลย มันส่งกันนะ ไอ้นี่พูดถึงความเห็นของเรา

อ้าว..ว่าต่อ มีอะไรอีกไหม ไม่มีอะไรจะให้ไปพักเนาะ เอวัง